ศูนย์ข่าวเชียงใหม่-เครือข่ายชุมชนเมืองเชียงใหม่เริ่มครั้งแรกงาน "ต๋ามผางเสริมสะหรีป๋าระมีฮับปี๋ใหม่"เชิญชวนจุดผางประทีปร่วมเคานต์ดาวน์ปีใหม่ที่ลานท่าแพ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นมงคลตามความเชื่อ แทนการปล่อยโคมลอยที่ไม่ใช่วัฒนธรรม
นางเสาวคนธ์ ศรีบุญเรือง ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนเมืองรักษ์เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในวันที่ 31ธ.ค.62 ที่ บริเวณลานประตูท่าแพ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ทางเครือข่ายชุมชนเมืองเชียงใหม่ และเครือข่าย เตรียม ที่จะจัดงานต๋ามผางเสริมสะหรีป๋าระมีฮับปีใหม่ ตั้งแต่เวลา 17.00 น.-24.00น. โดยเชิญชวนให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติร่วมกันจุดผางประทีปจำนวน 2,020 ดวง เพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่2020 ซึ่งในการจัดงานครั้งนี้จะมีการจัดวางเรียงผางประทีป ให้เป็นข้อความ "Happy New Year 2020" และ "สวัสดีปีใหม่2563" พร้อมแจกผางประทีปฟรีให้ผู้ร่วมงานจุดด้วย ซึ่งผางประทีปที่นำมาจุดนั้นทางชุมชนเป็นผู้ร่วมกันทำขึ้นเองทั้งหมด โดยนัดหมายกันทำที่วัดพวกหงษ์ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา09.00น.เป็นต้นไป
ทั้งนี้การจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งได้รับการอนุญาตจากสำนักศิลปากรที่ 7 (เชียงใหม่) ให้ใช้พื้นที่บนลานประตูท่าแพ นั้น เพื่อจะเชิญชวนและหวังให้เป็นทางเลือกสำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ต้องการเคาท์ดาวน์ ด้วยการร่วมกันจุดผางประทีปแทนที่จะไปปล่อยโคมลอยที่ไม่ได้เป็นความเชื่อหรือวัฒนธรรมประเพณีของชาวเชียงใหม่หรือล้านนาเลย ขณะที่การจุดผางประทีปนั้น เป็นความเชื่อและวัฒนธรรมประเพณีของชาวล้านนาที่สืบทอดมาช้านานว่า เป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลและการจัดงานในครั้งนี้เหตุผลที่เลือกลายประตูท่าแพ ก็เป็นเพราะว่าเมื่อมองผ่านประตูท่าแพไปทางทิศตะวันตก จะมองเห็นพระบรมธาตุดอยสุเทพอยู่บนยอดดอย ซึ่งการจุดผางประทีปในงานนี้จึงเปรียบเสมือนการจุดธูปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ด้วย
ส่วนการปล่อยโคมลอยนั้น ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนเมืองรักษ์เชียงใหม่ ระบุว่า ไม่ใช่ ความเชื่อและวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของชาวเชียงใหม่และล้านนาอย่างแน่นอน ทั้งการปล่อยในช่วงงานประเพณียี่เป็งและการปล่อยในช่วงงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่เป็นการนำความเชื่อและวัฒนธรรมประเพณีไปบิดเบือนจนผิดเพี้ยนในช่วงประมาณ20ปีที่ผ่านมานี้เอง เพื่อหวังผลในเรื่องของธุรกิจและการท่องเที่ยวเท่านั้น ซึ่งทำให้คนรุ่นหลังและนักท่องเที่ยวต่างชาติเกิดความเข้าใจและความเชื่อที่ผิดสืบทอดกันไป โดยมองว่าสมควรอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะต้องมีการทบทวน แก้ไขปรับปรุงทำให้ถูกต้องเสียที ด้วยการทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและยกเลิกการอนุญาตให้ปล่อยโคมลอย.