จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Wichuda Santes” ได้โพสต์บรรยายข้อความพร้อมรูปภาพประกอบลงในกลุ่มเฟซบุ๊กที่ชื่อ “กลุ่มคนหนีเที่ยว | Sneak out หนีเที่ยว” โดยโพสต์วิจารณ์ความไม่พอใจหลังไปใช้บริการที่พักแห่งหนึ่งที่ม่อนแจ่ม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวพร้อมคณะไปพักกางเต็นท์หลายหลัง แต่ปรากฏว่าภายในเต็นท์ที่พักค้างคืนนั้นมีราดำขึ้นเต็มไปหมด จึงนำเรื่องราวประสบการณ์ที่ได้รับมาเผยแพร่เพื่อหวังให้เป็นกรณีตัวอย่างและทางเจ้าของที่พักมีการแก้ไขปรับปรุง เพราะว่ากำลังเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่ผู้คนน่าจะเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นและแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก โดยต่อมาทางเจ้าของที่พักที่ชื่อม่อนสายลม ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ได้โพสต์ขอโทษยอมรับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และได้ทำการปรับปรุงแก้ไขแล้ว ขณะที่ทางจังหวัดเชียงใหม่ นำโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่และอำเภอแม่ริมได้เข้าตรวจสอบ พร้อมประชุมเจ้าของที่พักในพื้นที่เพื่อให้คำแนะนำและเน้นย้ำกำชับเรื่องการรักษาความสะอาดและสุขลักษณะ
นายสุรินทร์ นทีไพรวัลย์ ผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองหอยเก่า หมู่ 7 ตำบลแม่แรม และที่ปรึกษากลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรม่อนแจ่ม เปิดเผยว่า ตามที่นักท่องเที่ยวสาวนำเรื่องราวดังกล่าวไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 62 หลังจากทราบเรื่องได้ประสานไปทางเจ้าของที่พักที่ตกเป็นข่าวเพื่อดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นทันที โดยทางเจ้าของที่พักได้ดำเนินการรื้อเต็นท์ที่มีปัญหาออกทั้งหมด 12 หลัง พร้อมทั้งนำเต็นท์ใหม่เข้ามาติดตั้งทันที พร้อมประสานชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่พักทุกแห่งในพื้นที่ที่เป็นสมาชิกประมาณ 60 รายให้ทำการตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เกิดกรณีเช่นเดียวกันนี้อีก เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวนี้ โดยหลังจากที่เกิดกรณีนี้ขึ้นได้มีการประสานติดต่อไปขอโทษทางนักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุดังกล่าวแล้วและขอบคุณที่นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียเหมือนเป็นการเสนอแนะให้ทำการปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น
สำหรับกรณีนี้ที่มีคราบเชื้อราสีดำเกิดขึ้นคาดว่าเป็นเพราะมีการติดตั้งเต็นท์ไว้ตั้งแต่ช่วงปลายฤดูฝนทำให้มีความชื้นสะสมและเกิดเป็นเชื้อราขึ้นในที่สุด แต่ได้ทำการแก้ไขแล้ว ส่วนเต็นท์ที่พักของชาวบ้านที่นำมาให้บริการนักท่องเที่ยวนั้นปัจจุบันมีทั้งสิ้นประมาณ 300 หลัง และหากรวมกับบ้านพักด้วยจะมีที่พักที่ชุมชนให้บริการทั้งสิ้นประมาณ 1,500 หลัง โดยการที่ปัจจุบันชุมชนนิยมนำเต็นท์มาตั้งให้บริการที่พักนั้น เนื่องมาจากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์พื้นที่ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่รัฐมีการเข้มงวดในการตรวจสอบไม่ให้ทำสิ่งปลูกสร้างถาวร จึงทำการใช้เต็นท์แทนการสร้างที่พักให้บริการนักท่องเที่ยว เพราะสามารถรื้อถอนได้ทันที ซึ่งจะมีการตั้งเต็นท์ให้บริการนักท่องเที่ยวเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเท่านั้นเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน แต่หลังจากนั้นจะรื้อออกเพื่อทำการเกษตรตามฤดูกาล