xs
xsm
sm
md
lg

เกษตรฯ ชี้ปลูกซ้ำทำรากบวมระบาดกะหล่ำปลี-ผักกาดขาว “ภูทับเบิก-ด่านซ้าย” แห้งตายจริง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เพชรบูรณ์ - เผยโรครากบวมระบาดแปลงกะหล่ำ-ผักกาดขาวจริงทั้งภูทับเบิก-ด่านซ้าย ระบุเคยพบครั้งแรกปี 27 บนดอยอ่างขาง ปี 32 ในภาคใต้..ชี้เกษตรกรปลูกซ้ำทำเชื้อราขยายตัว


กรณีกะหล่ำปลี-ผักกาดขาว พืชเศรษฐกิจหลักของชาวภูทับเบิก ต.วังบาล อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ทยอยแห้งตายจนไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นั้น ว่าที่ ร.ต.สมใจ ทองศิริ หัวหน้ากลุ่มงานอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะเจ้าหน้าที่ฯ เกษตรจังหวัดและเกษตรตำบลวังบาลได้ลงพื้นที่สำรวจดูแปลงกะหล่ำปลี และแปลงผักกาดขาวที่บ้านทับเบิกแล้ว

เบื้องต้นพบว่ากะหล่ำปลีและผักกาดขาวเป็นโรครากบวมจริงเพราะสาเหตุเกิดจากเชื้อรา เกษตรกรแจ้งว่าพบการติดโรครากบวมโดยเริ่มจากปีที่แล้ว และมีแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรบางรายเป็นแต่ไม่ทั้งหมด แต่ไม่มีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ พอมาในปีนี้พบมากขึ้นจนผิดสังเกต จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ช่วยไปตรวจสอบดังกล่าว จึงได้แนะนำให้เกษตรกรจัดการแปลงตามวิธีที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ


ล่าสุดเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสำรวจรวบรวมข้อมูลและความเสียหายโดยละเอียดอีกครั้งเพื่อทำรายงานเสนอทางอำเภอ รวมทั้งขอให้สถานีพัฒนาที่ดินช่วยตรวจวิเคราะห์ดิน เนื่องจากการปลูกพืชตระกูลกะหล่ำในพื้นที่เดิมซ้ำๆ โดยไม่มีการปรับปรุงดินทำให้เกิดความเป็นกรดเป็นด่างในดิน ผนวกกับสภาพอากาศหนาวอุณหภูมิพอเหมาะจนเอื้อต่อการทำให้เกิดโรคราชนิดนี้ได้

“การแพร่ระบาดของโรครากบวมในผักกะหล่ำ-ผักกาด เวลานี้พื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ใน อ.ด่านซ้าย จ.เลย ส่วนที่ทับเบิกนั้นเจ้าหน้าที่ลงสำรวจในแปลงที่ติดโรคแล้ว แต่ในแปลงที่ติดกันก็ยังไม่เป็น อย่างไรก็ตามต้องรอผลการสำรวจโดยละเอียดก่อน”


ว่าที่ ร.ต.สมใจกล่าวอีกว่า โรครากบวมนั้นที่ผ่านมายังไม่มีรายงานความเสียหาย เพียงแต่มีรายงานการพบครั้งแรกที่ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ เมื่อปี 2527 และที่ภาคใต้เมื่อปี 2532 โดยยังไม่มีการศึกษาเชื้อราชนิดนี้ ฉะนั้น ในทางปฏิบัติคือควรต้องเว้นการปลูกพืชตระกูลกะหล่ำปลีอย่างน้อย 1-2 ปี และต้องปรับปรุงบำรุงดิน-จัดการการระบายน้ำในแปลงเพาะปลูกให้ดี จากนั้นไปปลูกพืชชนิดอื่นแทนซึ่งจะลดความเสี่ยงหรือความเสียหายจากการปลูกกะหล่ำปลีและผักกาดขาว
กำลังโหลดความคิดเห็น