บุรีรัมย์ - ไม่งมงาย! เกษตร จ.บุรีรัมย์ชี้ชัดตามหลักวิชาการแสงไฟฟ้าส่องสว่างกระทบนาข้าวโตช้าและไม่ออกรวงจริง โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่เกษตรกรนิยมปลูกเป็นสายพันธุ์ไวต่อแสง ยอมรับเป็นปัญหาในหลายพื้นที่ เตรียมหารือจังหวัดฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกร
วันนี้ (21 พ.ย.) จากกรณีที่มีเกษตรกรนำกระสอบปุ๋ยและสแลนกันแดดปิดคลุมหลอดไฟฟ้าส่องสว่างบนถนนทางหลวงหมายเลข บร.3001 สายละหานทราย-นางรอง ช่วงถนนสี่เลน บริเวณบ้านจอมปราสาท ต.สะเดา อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ทั้งยังใช้เชือกมัดกับกระป๋องกาแฟ และก้อนหินผูกติดห้อยระโยงระยาง รวมจำนวน 7 ต้น เพราะมีความเชื่อว่าแสงไฟทำให้ต้นข้าวโตช้าและไม่ออกรวง กระทั่งล่าสุดแขวงทางหลวงชนบทบุรีรัมย์ระบุว่าไม่สามารถทำได้เพราะเป็นทรัพย์สินของทางราชการ และเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ทางหลวง และล่าสุดได้ให้เจ้าหน้าที่ไปเก็บรื้อกระสอบปุ๋ยและสแลนออกจากหลอดไฟแล้ว เพราะเกรงจะเกิดอุบัติเหตุต่อผู้สัญจร ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
จากกรณีดังกล่าวผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถาม นายนวนิตย์ พลเคน เกษตรจังหวัดบุรีรัมย์ ระบุว่า ตามหลักวิชาการแล้วแสงไฟส่องสว่างกระทบต้นข้าวทำให้เจริญเติบโตช้าและไม่ออกรวงจริง โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ 105 ที่เกษตรกรภาคอีสานนิยมปลูกเพราะเป็นที่ต้องการของตลาด จะมีความไวต่อแสง ซึ่งปกติจะต้องการแสงไม่เกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน หากโดนแสงนานกว่านั้นจะทำให้ข้าวเจริญเติบโตช้าและไม่ออกรวงจะทำให้ได้ผลผลิตลดลง
โดยที่ผ่านมาเคยได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกรในหลายพื้นที่อำเภอที่มีนาข้าวอยู่ใกล้กับรัศมีของไฟฟ้าส่องสว่างริมถนนว่าประสบปัญหาดังกล่าวและเคยนำเสนอเข้าที่ประชุมแล้ว ซึ่งจากกรณีดังกล่าวจะได้หารือกับทางจังหวัดบุรีรัมย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบของเกษตรกร
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้ไปทำความเข้าใจกับเกษตรกรที่เจอปัญหาในลักษณะดังกล่าวแล้ว ซึ่งวิธีการหลีกเลี่ยงหากไม่สามารถที่จะปิดไฟส่องสว่างได้ เกษตรกรจะต้องปรับเปลี่ยนพันธุ์ข้าวที่ไม่มีความไวต่อแสง แต่ค่อนข้างยากเพราะนาปีส่วนใหญ่ที่เกษตรกรปลูกจะเป็นข้าวหอมมะลิ 105