ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - หนุ่มใหญ่นามสกุลดังยืนยันไม่ได้พรากผู้เยาว์หรือบังคับขืนใจเด็ก นร.สาวอายุ 17 ปีที่แม่จูงขึ้นโรงพักแจ้งความ ชี้แจงรู้จักกันในสถานบันเทิงครั้งแรกเด็กบอกอายุ 23 ปี ต่อมารู้ความจริงจึงเว้นระยะห่าง เผยแม่เด็กรู้เรื่องมาแต่แรกแถมยังฝากฝังช่วยสอดส่องดูแลพฤติกรรมและให้ตามกลับบ้านเวลาหนีเที่ยวกลางคืน ย้ำไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพล เตรียมเข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง แสดงความบริสุทธิ์ใจและใช้กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์
ความคืบหน้ากรณีวานนี้ (4 พ.ย. 62) นางเอ (นามสมมติ) อายุ 42 ปี พร้อมด้วยลูกสาวชื่อนางสาวเอ็ม (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่ปิง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อนายชลัมกรณ์ กัลยาณมิตร ซึ่งเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "ชลัมกรณ์ กัลยาณมิตร" ในข้อหาพรากผู้เยาว์และความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ หลังจากที่นายชลัมกรณ์ได้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวโพสต์ภาพนางสาวเอ็มที่ถ่ายคู่กับนายชลัมกรณ์ และบรรยายข้อความประจานให้ได้รับความอับอายเสียหาย โดยเฉพาะในเรื่องที่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนางสาวเอ็มอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งความไว้ พร้อมส่งตัวนางสาวเอ็มไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และจะให้พนักงานสอบสวนหญิงทำการสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมทั้งจะติดตามตัวนายชลัมกรณ์ให้เข้าพบสอบปากคำต่อไป
วันนี้ (5 พ.ย. 62) นายชลัมกรณ์ กัลยาณมิตร อายุ 44 ปี เปิดเผยว่า ยอมรับว่าตนเป็นคนที่ถูกนางเอ (นามสมมติ) พร้อมด้วยลูกสาวชื่อนางสาวเอ็ม (นามสมมติ) อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เข้าแจ้งความ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาพรากผู้เยาว์และไม่ได้ข่มขืนนางสาวเอ็มตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งจะขอไปให้การรายละเอียดทั้งหมดต่อพนักงานสอบสวนและต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป โดยยอมรับว่ารู้จักกับนางสาวเอ็มเมื่อเดือน เม.ย. 62 ในช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา ในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งย่านถนนห้วยแก้ว ในตัวเมืองเชียงใหม่ ระหว่างที่ต่างคนต่างเข้าไปใช้บริการ ซึ่งนางสาวเอ็มบอกว่าอายุ 23 ปี และด้วยความที่นางสาวเอ็มสามารถเข้าไปเที่ยวในสถานบันเทิงได้ อีกทั้งจากรูปร่างและการแต่งตัวแล้ว จึงเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่านางสาวเอ็มน่าจะอายุเกิน 20 ปีแล้ว โดยที่นางสาวเอ็มมีการแสดงท่าทีต่างๆ หลายอย่างทำให้เชื่อว่านางสาวเอ็มน่าจะมีใจให้กับตนเองด้วย ซึ่งยอมรับว่าหลังจากนั้นได้มีการพบปะเที่ยวด้วยกันอีกหลายครั้ง โดยที่นางสาวเอ็มจะไปกับกลุ่มเพื่อนทุกครั้ง ไม่ใช่การไปกันเพียงลำพังสองต่อสอง
อย่างไรก็ตามมาทราบในภายหลังว่านางสาวเอ็มยังเป็นนักเรียนอยู่ โดยวันหนึ่งในช่วงกลางวันหลังจากตนได้ส่งข้อความไปหานางสาวเอ็มว่าอยู่ที่ไหน และได้รับคำตอบว่ากำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียน ซึ่งตอนแรกตนเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมไม่บอกว่าอยู่มหาวิทยาลัย จนกระทั่งจากนั้นนางสาวเอ็มได้ส่งภาพที่แต่งตัวในชุดนักเรียนมาให้และตนสอบถาม จนทำให้ทราบว่านางสาวเอ็มอายุ 17 ปี และยังเป็นนักเรียนอยู่ ซึ่งหลังจากนั้นตนจึงได้เริ่มยุติที่จะสานสัมพันธ์กันให้เกินเลยมากไปกว่านี้โดยเด็ดขาด แต่ยังมีการติดต่อและพบเจอกันอยู่ตามสถานบันเทิงที่นางสาวเอ็มไปเที่ยวยามค่ำคืน ซึ่งนางสาวเอ็มมักจะมาขอเงินตนใช้ครั้ง 300 บาท, 500 บาท หรือ 1,000 บาท อีกทั้งไปกินเที่ยวตามที่ต่างๆ แล้วลงบัญชีตนไว้เป็นประจำ
สำหรับการรู้จักติดต่อพูดคุยกันระหว่างตนกับนางสาวเอ็มนั้น ทางแม่ของนางสาวเอ็มรับรู้มาตั้งแต่แรก และยังขอฝากฝังให้ช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลลูกสาวในช่วงที่ออกไปเที่ยวกลางคืนด้วย เพราะแม่เห็นว่าตนเป็นผู้ใหญ่และเที่ยวกลางคืนเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งตนรับปากไว้และช่วยสอดส่องดูพฤติกรรมของนางสาวเอ็ม ให้อยู่เสมอ ทั้งการคอยตักเตือนให้กลับบ้าน และแม้แต่การขับรถตามไปส่งให้ถึงบ้านจริงๆ ด้วยความหวังดีว่าอย่างน้อยให้น้องเอ็มเรียนจบชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งทุกครั้งที่นางสาวเอ็มออกไปเที่ยวและไม่ยอมกลับบ้าน ทางแม่ของนางสาวเอ็มจะโทรศัพท์มาหาให้ตนช่วยทุกครั้ง จึงยืนยันว่าที่แม่นางสาวเอ็มปฏิเสธว่าไม่รู้จักตนเองนั้นไม่เป็นความจริง
ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้วตนได้ตัดสินใจว่าจะเลิกเกี่ยวข้องกับนางสาวเอ็มอย่างเด็ดขาด และเลิกที่จะช่วยดูแลนางสาวเอ็มให้ตามที่รับปากกับแม่เพราะทนพฤติกรรมของนางสาวเอ็มไม่ไหวแล้ว ซึ่งได้มีการพูดคุยกับทางแม่ของนางสาวเอ็มในเรื่องนี้แล้ว และจากนั้นตนยังได้มีการโพสต์ข้อความและรูปภาพที่กลายเป็นประเด็นขึ้นมาลงในเฟซบุ๊ก ด้วยเจตนาที่ว่าต้องการจะประกาศเตือนให้ทราบโดยทั่วกันในกลุ่มคนรู้จักและสถานบันเทิงว่านางสาวเอ็มเพิ่งอายุ 17 ปี จะได้ไม่ปล่อยให้เข้าไปเที่ยว และบอกให้ทราบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับตนเองเพราะนางสาวเอ็มมักจะไปเที่ยวและให้ลงบัญชีเก็บเงินกับตนโดยที่ไม่ได้มีเจตนาจะประจานแต่อย่างใด ซึ่งเบื้องต้นตนยอมรับว่าผิดพลาดในเรื่องนี้ และก่อนหน้านี้ได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจ พร้อมขอโทษพ่อนางสาวเอ็มไปแล้ว โดยตกลงกันว่าให้ตนลบโพสต์ออกเพื่อจบเรื่องทุกอย่าง ซึ่งตนก็ทำตาม แต่สุดท้ายกลับพบว่าเรื่องราวบานปลายจนถึงขั้นมีการแจ้งความกัน
สำหรับประเด็นที่กล่าวหาว่าเป็นผู้มีอิทธิพลและข่มขู่นั้น นายชลัมกรณ์ยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ยอมรับว่าเป็นที่รู้จักอย่างดีของกลุ่มคนที่เที่ยวกลางคืนเพราะตนเป็นนักเที่ยวกลางคืนที่ออกเที่ยวเกือบทุกคืน ขณะเดียวกันยืนยันด้วยว่าไม่เคยข่มขู่คุกคามทั้งกับตัวนางสาวเอ็ม และครอบครัว รวมทั้งเพื่อนฝูงของนางสาวเอ็มแต่อย่างใด โดยมีเพียงการโทรศัพท์ไปพูดคุยทำความเข้าใจกับพ่อแม่ของนางสาวเอ็ม เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ ยืนยันในความบริสุทธิ์ใจของตนเอง และจะไม่หลบหนีไปไหน โดยเตรียมเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาและให้ปากคำด้วยตนเองในเร็วๆ นี้ จากนั้นพร้อมพิสูจน์ตนเองตามกระบวนการยุติธรรม