กาญจนบุรี - ศาล จ.กาญจนบุรี ยกคำร้อง"ครูปรีชา"ให้ไต่สวน"อัจฉริยะ"ละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ กรณีปล่อยคลิปเสียงสนทนาหวย 30 ล้านบาทอลเวง ชี้ยังไม่ได้วางข้อกำหนด แต่หลังจากนี้ห้ามนำข้อมูลทุกประเภทที่อยู่ในกระบวนการของศาลไปเผยแพร่อีก ด้าน"ฟ้า"โผล่ให้กำลังใจครูปรีชา พร้อมเดินหน้าฟ้องอาทิตย์หน้า ส่วน"อัจฉริยะ"เผยไม่เคยให้ราคากับบุคคลนี้ ฟ้องได้ก็ฟ้องไป
ความคืบหน้ากรณีนายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทพมงคลรังษี ได้ร้องต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 23 พ.ค.61 ว่า ขอให้ศาลไต่สวนว่านายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เนื่องจากนายอัจฉริยะ ได้มีการนำคลิปเสียงการสนทนาที่คล้ายเสียงของครูปรีชา ไปเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก เพราะช่วงที่นายอัจฉริยะ นำคลิปเสียงไปเผยแพร่นั้น ทุกคดีอยู่ในกระบวนการของศาลแล้ว และศาลจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีการนัดไต่สวนข้อเท็จจริงในวันที่ 21 มิ.ย. 2561
ล่าสุดวันนี้ (21 มิ.ย.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางด้วยรถยนต์ตู้มาถึง ตามที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรีนัดพร้อมสอบข้อเท็จจริง ตามเลขคดีดำที่ ลบ.1/61 พร้อมกับเปิดเผยว่า ตนมั่นใจในตัวเองว่าไม่มีความผิด เพราะตนไม่ใช่คู่ความในคดีหวย 30 ล้าบาท
โดยที่ผ่านมาตนไม่เคยบอกว่า คลิปเสียงที่นำมาเผยแพร่นั้นเป็นคลิปเสียงใคร นอกจากครูปรีชา จะยอมรับว่านี่เป็นคลิปเสียงของครูปรีชาเอง จากนั้นนายอัจฉริยะ จึงขอตัวขึ้นไปที่ห้องพิจารณาคดี 5 ระหว่างนั้นนายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา ก็ได้เดินทางมาถึงพอดี สื่อมวลชนจึงได้เข้าไปทักทาย
โดยครูปรีชา ปฎิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ และบอกเพียงสั้นๆ ว่า ขอให้กระบวนการในชั้นศาลแล้วเสร็จก่อน เมื่อพูดจบครูปรีชาก็ได้เดินผ่านหน้านายอัจฉริยะ ขึ้นไปที่บังลังค์ 5 ทันที โดยก่อนหน้านี้นายสุชพงศ์ บุญเสริม ทนายความ ได้ขึ้นไปรออยู่ก่อนแล้ว สำหรับคดีดำที่ ลบ.1/61 นั้นศาลจังหวัดกาญจนบุรี เป็นโจทก์ ส่วนนายอัจฉริยะ นั้นเป็นจำเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่สื่อมวลชนรอการสัมภาษณ์จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ปรากฏพบ น.ส.กนกพรรณ หมวกไสว หรือ “ฟ้า” คนสนิทครูปรีชา ใคร่ครวญ ได้เดินทางมาที่ศาลเพียงคนเดียว ผู้สื่อข่าวจึงเข้าไปสอบถาม ซึ่ง น.ส.กนกพรรณ หรือฟ้า ได้กล่าวกับสื่อมวลชนในเชิงที่เป็นปริศนาว่า การเดินทางมาครั้งนี้ที่จริงแล้วอยากจะซื้อข้าวผัดและโอเลี้ยงติดมือมาด้วย เพื่อแสดงความมีน้ำใจ เผื่อมีใครหิวแล้วซื้อไม่ทัน ก็แอบลุ้นอยู่ว่าศาลท่านจะว่าอย่างไร แต่ส่วนตัวที่มาวันนี้ก็เพื่อต้องการคำฟังพิพากษาว่า การนำคลิปมาเผยแพร่นั้นผิดหรือไม่ และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน เพื่อจะยื่นฟ้องนายอัจฉริยะภายในอาทิตย์หน้า
จากนั้น น.ส.กนกพรรณ จึงขอตัวขึ้นไปฟังคำพิพากษา สำหรับการพิจารณาคดีในครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษจึงแล้วเสร็จ จากนั้นนายอัจฉริยะ ได้ลงมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นคนแรก
โดยนายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า ศาลท่านได้ยกคำร้อง หลังท่านได้สอบถามข้อเท็จจริง รวมทั้งสอบถามที่มาของคลิปเสียง ซึ่งตนก็ได้แจ้งให้ศาลทราบว่า มีพลเมืองดีนำคลิปมาให้ และพลเมืองดีก็ได้ส่งไปให้หลายที่ไม่ใช่เฉพาะส่งมาให้ตนเท่านั้น
ส่วนตัวไม่ทราบมาก่อนว่าคลิปนั้นเป็นวัตถุพยานในชั้นศาลมาก่อน หากทราบก็คงจะไม่นำมาเผยแพร่ และตนได้ยืนยันกับศาลว่า ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำ แต่เป็นการนำมาเสนอเพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงเท่านั้น
โดยหลังจากที่ศาลได้รับฟังการชี้แจง ศาลท่าจึงได้พิจารณา เห็นว่าการกระทำของตน ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาล เนื่องจากขณะนั้นศาลยังไม่ได้มีข้อกำหนดในกรณีดังกล่าวเอาไว้ และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางรูปคดี รวมถึงเพื่อให้กระบวนการพิจารณาเป็นไปด้วยความยุติธรรม และรวดเร็ว ศาลท่านจึงได้วางข้อกำหนดห้ามมิให้ตนนำข้อมูลทุกประเภท ที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล ไปเผยแพร่สู่สาธารณะอีก
หากไม่ปฏิบัติตามก็จะเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ดังนั้นตนจะต้องระมัดระวัง ส่วนกรณีที่ น.ส.กนกพรรณ หมวกไสว หรือฟ้า ที่มาในวันนี้ ก็ไม่ได้คุยอะไร หากเขาจะฟ้องก็ให้เขาฟ้องไปเพราะตนไม่ให้ราคาอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า หลังจากที่นายอัจฉริยะ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแล้วเสร็จ ก้ได้เดินทางไปไหว้สักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรี เพื่อเป็นสิริมงคลในทันที
ด้านนายสุชพงศ์ บุญเสริม ทนายความครูปรีชา เปิดเผยว่า ประเด็นในวันนี้ก็อย่างที่ทราบกันว่าวันนี้ศาลได้นัดพร้อมเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และศาลท่านได้วินิจฉัยว่า เนื่องจากยังไม่มีการวางข้อกำหนด จึงยกคำร้องว่านายอัจฉริยะ ไม่ได้ละเมิดอำนาจศาล ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ศาลก็ได้แจ้งให้ระมัดระวังว่าการที่จะนำบางสิ่งบางอย่างไปเปิดเผย จะส่งผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณาคดี หรือต่อสังคม จึงให้ระมัดระวังมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเอาเป็นเอาตาย แต่ขอให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นเอง ซึ่งตนเชื่อว่านายอัจฉริยะ ก็คงจะมีเหตุผลพอสมควร จึงได้รับฟังคำตักเตือนของศาล