ประจวบคีรีขันธ์ - เจ้าหน้าที่ลงสำรวจแนวปะการังเกาะทะลุ เกาะสิงห์ และเกาะสังข์ แหล่งดำน้ำชมปะการังของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบปะการังฟอกขาว และเสื่อมโทรมหนัก บางส่วนเริ่มตายหลังมีสาหร่ายปกคลุม แนะควรประกาศงดกิจกรรมดำน้ำ และใช้มาตรการคุ้มครองเพื่อหาแนวทางฟื้นฟูต่อไป
วันนี้ (21 มิ.ย.) บริเวณเกาะทะลุ เกาะสิงห์ และเกาะสังข์ ต.ทรายทอง อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของทะเลอ่าวไทยตอนกลาง โดย นายวัฒนาพร พรประเสริฐ ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 เพชรบุรี นายชัยณรงค์ เรือนทอง หน.ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 1 ชุมพร (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช) นายภาณุวัฒน์ ดำภูผา นักวิทยาศาสตร์ ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 1 ชุมพร
พร้อมด้วย นายภัทร อินทร์ไพโรจน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม และนายเผ่าพิพัธ เจริญพักตร์ เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม พร้อมด้วยเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล พร้อมเจ้าหน้าที่กว่า 20 นาย และพนักงานรีสอร์ตเกาะทะลุ ไฮแลนด์ รีสอร์ท ได้ร่วมกันวางแผนดำน้ำสำรวจสถานภาพของปะการังทั้ง 3 เกาะ เพื่อเป็นฐานข้อมูลปัจจุบันก่อนที่จะมีการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งของอ่าวไทย
โดยจุดแรก เจ้าหน้าที่ได้ลงดำน้ำสำรวจแนวปะการังบริเวณเกาะสิงห์ เนื่องจากมีข้อมูลว่า ปัจจุบันแนวปะการังที่เคยสวยงามได้เกิดความเสื่อมโทรมอย่างหนัก ซึ่งเกิดจากการใช้ประโยชนจากการท่องเที่ยว และกิจกรรมอื่นๆ เจ้าหน้าที่ลงสำรวจพบว่า แนวปะการังบริเวณดังกล่าวมีสภาพเสื่อมโทรมอย่างหนัก มีการเข้ามาปกคลุมของสาหร่าย รวมทั้งยังมีตะกอนที่ถูกกระแสน้ำพัดเข้าปกคลุมแนวปะการังบริเวณเกาะสิงห์ ทำให้ปะการังส่วนหนึ่งตาย
ส่วนในจุดที่ 2 เจ้าหน้าที่ได้ลงดำสำรวจบริเวณแนวปะการังด้านปลายหางของเกาะทะลุ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็พบว่า แนวปะการังดอกไม้ทะเลขนาดใหญ่บริเวณดังกล่าวเกิดการฟอกขาวเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นพื้นที่บริเวณกว้างอย่างหนัก บางส่วนเริ่มตายก็มีแล้ว นอกจากนั้น ยังพบว่าจุดนี้มีการทิ้งสมอเรือลงในแนวปะการังดอกไม้ทะเล จนทำให้ปะการังดอกไม้ทะเลได้รับความเสียหายหลายจุดด้วยกัน
อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังลงสำรวจแนวปะการังบริเวณเกาะทะลุ ก็พบว่า พบว่าปะรังเขากวางที่มีความสวยงามซึ่งปกติมีสีน้ำตาล แต่ขณะนี้พบว่า แต่ละจุดกลายเป็นสีขาวเช่นกัน ในส่วนของกลุ่มปะการังเขากวางจะไวต่อการเกิดการฟอกขาวมากกว่าปะการังชนิดอื่นๆ
สำหรับในจุดสุดท้ายที่เกาะสังข์ เจ้าหน้าที่ชุดสำรวจยังพบว่า สภาพของแนวปะการังโดยรวมของเกาะสังข์ สภาพแนวปะการังยังถือว่ายังไมได้รับผลกระทบ และยังมีความสมบูรณ์ในระดับปานกลาง โดยเจ้าหน้าที่กล่าวว่า สถานภาพในส่วนของปะการังที่เกิดการฟอกขาว เกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งอุณหภูมิของน้ำที่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้มาติดตามวัดค่านำพบว่า มีอุณหภูมิน้ำสูงอยู่ที่ 32 องศา
โดยในช่วงปี 2553 จากข้อมูลย้อนหลังการสำรวจสถานภาพของแนวปะการังที่เกาะทะลุ ก็พบว่าเคยเกิดฟอกขาวมาแล้ว รวมทั้งเมื่อปี 2559 ได้เกิดวิกฤตปะการังฟอกขาวใน 7 พื้นที่ ทั้งฝั่งอันดามัน และอ่าวไทย รวมทั้งเกาะทะลุ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทำให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้มีการประกาศใช้มาตรการ 13 ข้อ โดยข้อสำคัญคือ ห้ามจอดเรือโดยทิ้งสมอเรือบริเวณแนวปะการัง ห้ามบุคคล หรือผู้ประกอบการกิจการท่องเที่ยวดำน้ำตื้นจะต้องไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการัง ห้ามการกระทำใดที่ก่อให้เกิดตะกอนลงสู่แนวปะการัง
ซึ่งผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามความในมาตรา 227 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 (12) เพื่อระงับความเสียหายต่อแนวปะการังใน 7 พื้นที่ รวมทั้งเกาะทะลุด้วย อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังคงใช้อยู่ แต่สำหรับในส่วนของเกาะสิงห์นั้นไม่ได้มีการประกาศแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวทั้งบริเวณในส่วนของปลายหางของเกาะทะลุ ในครั้งนี้ รวมทั้งบริเวณแนวปะการังเกาะสิงห์ ซึ่งมีสภาพความเสื่อโทรมอย่างหนักถึง 80 เปอร์เซ็นต์ อาจส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล
ภายหลังเสร็จสิ้นการสำรวจสถานภาพแนวปะการังทั้ง 3 เกาะแล้ว นายวัฒนา พรประเสริฐ ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 เพชรบุรี รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ จากศูนย์ปฏิบัติการทางทะเลที่ 1 จ.ชุมพร เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม และเจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากร ทะเลสยาม เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ได้สรุปเห็นตรงกันว่าในส่วนของเกาะสิงห์ นั้นพบว่า มีความเสื่อมโทรมอย่างหนักถึง 80 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้น ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ควรประกาศใช้มาตรการคุ้มครองเช่นเดียวกันกับเกาะทะลุ และเห็นควรงดกิจกรรมดำน้ำในพื้นที่เกาะสิงห์ด้วย เพื่อให้แนวปะการังได้รับการฟื้นฟูจากทั้งธรรมชาติ และหน่วยงานเกี่ยวข้องควรหาแนวทางในการที่จะฟื้นฟูแนวปะการังบริเวณดังกล่าว