ฉะเชิงเทรา - ลุงอัมพฤกษ์ ชาวแปดริ้ว เตรียมบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์หมอแทน หลังผิดหวังจากข้อกฎหมายที่ไม่เอื้อบริจาคดวงตา พร้อมขอโทษสาวบุรีรัมย์ที่ให้ความหวังไว้ แต่ทำไม่ได้ตามความตั้งใจ โดยพร้อมเป็นกำลังใจและให้คำปรึกษา
วันนี้( 9 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังที่บ้านเลขที่ 1/17 หมู่ 11 ต.บ้านซ่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายพายัพ รอดเมือง อายุ 59 ปี ชาวบ้านหนองตารอด ชายพิการป่วยเป็นอัมพฤกษ์นอนติดเตียงมานานกว่า 21 ปี ที่ตัดสินใจช่วยบริจาคดวงตาให้แก่สาววัย 26 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ ผู้พิการตาบอดและยังต้องเลี้ยงดูบุตรแต่เพียงลำพัง หลังจากได้ดูรายการข่าวจากสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจติดต่อไปขอบริจาคดวงตาให้แก่สาวพิการหนึ่งข้างตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด นายพายัพ นอนพักอยู่ที่บ้าน หลังจากต้องเดินสายไปออกรายการโทรทัศน์ในหลายสถานี และกลับมาถึงบ้านพักในช่วงพลบค่ำ พร้อมเปิดเผยว่า หากมีรายการโทรทัศน์เชิญให้ไปออกรายการอีกก็จะไปอีก เพื่อช่วยกันรณรงค์ให้คนช่วยกันบริจาคอวัยวะบริจาคร่างกายกันให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าบุญกุศลที่เราได้ทำไว้จะส่งผลไปในภายภาคหน้าให้เราเกิดมามีอวัยวะครบถ้วน 32 ประการ
นายพายัพ กล่าวว่า สำหรับการที่ตัดสินใจบริจาคดวงตาให้แก่ น.ส.สุนิสา มุ่งรวยกลาง หรือน้องยุ้ย วัย 26 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ นั้น เพราะเห็นข่าวในโทรทัศน์ว่าเขานั้นมีความทุกข์มาก ทั้งพ่อแม่ก็แก่ชราตัวเองก็ยังพิการมองไม่เห็นและยังต้องเลี้ยงลูกน้อยอีกคน จึงรู้สึกสงสารมาก จึงอยากจะบริจาคดวงตาให้เขาไปสักข้างหนึ่ง เพื่อให้เขาไว้คอยดูแลพ่อแม่และลูกของเขาได้ ด้วยความรู้สึกสงสารจึงให้และเพื่อเป็นการสร้างบุญกุศลให้กับตนเองด้วย เพราะชาตินี้ตนต้องมาพิการเจ็บป่วยและในภายภาคหน้า ไม่ต้องมาเป็นแบบนี้อีก
“ทั้งนี้ ตนมีความตั้งใจจริงและไม่รู้ว่ากฎหมายไม่เอื้ออำนวย ให้มีการบริจาคดวงตาให้คนอื่นได้ นอกจากพ่อแม่ภรรยาหรือบุตร เท่านั้น เพราะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของตนเอง แต่ตนก็จะไปบริจาคร่างกายไว้ที่โรงพยาบาล เพื่อให้อวัยวะทุกส่วนไปใช้กับคนอื่นได้ ส่วนร่างกายก็จะไว้เป็นอาจารย์หมอต่อไปและต้องขอโทษน้องยุ้ยด้วย ที่ลุงทำไม่ได้เพราะกฎหมายไม่เอื้ออำนวยให้ อย่างไรให้น้องยุ้ยสู้ๆ ต่อไปลุงจะเป็นกำลังใจให้ ถ้าหากท้อแท้อะไรก็ให้โทรศัพท์มาหาลุง แล้วลุงจะคอยให้คำปรึกษาไปเรื่อยๆ ต้องมีสักวันที่แสงสว่างของน้องยุ้ยจะต้องมีเกิดขึ้น” นายพายัพ กล่าว
ผู้สื่อข่าว ได้สอบถามว่า หากมีคนใจบุญพาไปรักษาอาการที่กำลังเจ็บป่วยให้หายจะไปไหม โดยนายพายัพ ตอบว่า ถ้าหากมีจริงก็อยากไป เพื่อรักษาให้หายและกลับมาประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองอย่างพออยู่พอกินได้ เพราะทุกวันนี้ต้องทนทุกข์ทรมานจนบางครั้งถึงกับต้องนอนน้ำตาไหลกับความเจ็บปวดของร่างกายที่เกิดขึ้นมานานถึงกว่า 21 ปีเต็มแล้ว