กาญจนบุรี - “บิ๊กโจ๊ก” แถลงรวบ 2 ผัวเมียชาวเกาหลีใต้ หนีคดีฉ้อโกงเพื่อนร่วมชาติกว่า 115 ล้านบาท มากบดานที่ไทยนานกว่า 10 ปี แถมก่อคดีฉ้อโกงซ้ำอีก 100 ล้าน ที่กาญจนบุรี ผู้เสียหายทยอยแจ้งความแล้ว
เย็นวันนี้ (7 พ.ค) ที่ห้องประชุมสถานีตำรวจภูธรท่าม่วง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี พล.ต.ต.พิเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ผบก.ทท.3 พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบก.ทท.1 พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1 พ.ต.อ.นิธิธรจินตกานนท์ รอง ผบก.ศป.พ.ต.อ.ดุสิต วาลีประโคน ผกก.1 บก.ทท.3 พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ผันสืบ สว.ทท.1 กก.1 บก.ทท. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 นำโดย พ.ต.อ.พูนทรัพย์ ประเสริฐเมธ รอง ผบก.ภ.จว. กาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง นำโดย พ.ต.อ.สำราญ กลั่นมา ผกก.ตม.กาญจนบุรี พ.อ.มนตรี ธนาวรรณโอภาส เสธ กกล.รส.จว.กาญจนบุรี (มทบ.17)และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวตามยุทธการทลายเครือข่ายอาชญากรทางเศรษฐกิจตามหมายจับตำรวจสากล ที่หลบหนีมาอาศัยอยู่ในเมืองไทยโดยผิดกฎหมาย
โดยนำตัวผู้ต้องหา ประกอบด้วย 1 นายบิยอง แท เจิน หรือชื่อภาษาไทย นายแสง จันทร์นวล อายุ 54 ปี ชาวเกาหลีใต้ โดยกล่าวหาว่าเ ป็นบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยและพำนักอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 664/2558 ลงวันที่ 16 ก.ย.2558 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 ที่ตำบลท่าล้อ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี
ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของนายบิยิง แท เจิน คือ นางกวาง ซุก ชิน อายุ 54 ปี โดยกล่าวหาว่าเป็นบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยและพำนักอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และผู้ต้องหาที่ 3 นายเอกทัศน์ หรือเอก แก้วสีรัง อายุ 43 ปีอยู่บ้านเลขที่ 182/17 หมู่ 10 ตำบลปากแพรก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยกล่าวหาว่าให้บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมายเข้าพักอาศัยซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นการจับกุม
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาล ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกวดขันจับกุมกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยโดยแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวเพื่อมาก่ออาชญากรรมข้ามชาติ และหลบซ่อนตัวภายในประเทศไทย ที่ประสบต่อความมั่นคง ส่งผลต่อภาพลักษณ์ และการท่องเที่ยวของประเทศไทย รวมถึงกลุ่มชาวต่างชาติพักอาศัยอยู่ในประเทศโดยการอนุญาตสิ้นสุดลง และหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาวิธีการกระทำผิดให้มีความซับซ้อน และหลบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่รัฐ
โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สนองนโยบายของรัฐบาล โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดซึ่งระดมกวาดล้างอาชญากรรมที่เกี่ยวกับชาวต่างชาติทุกรูปแบบที่แฝงตัวมาในคราบนักท่องเที่ยว
ต่อมา เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้รับการประสานจากสถานเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ ประจำประเทศไทย และกองการต่างประเทศว่า มีผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศเกาหลีใต้ หมายจับตำรวจสากล (interpol) ในข้อหาฉ้อโกง รวมมูลค่าความเสียหาย 115,195,588 บาท เมื่อปี พ.ศ.2548 และหลบหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองนี้ได้หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมคาวบอย เลขที่ 59/18 หมู่ 1 ตำบลท่าล้อ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี จึงได้วางแผนเข้าทำการตรวจสอบ โดยได้ขอหมายค้นจากศาลจังหวัดกาญจนบุรีที่ 405/2561 ลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2561 เข้าทำการตรวจค้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2561 ผลการตรวจค้นพบผู้ต้องหาทั้ง 2 คน หลบซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมดังกล่าว จึงได้ทำการจับกุมตัว
จากการตรวจสอบประวัติพบว่า ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 เป็นบุคคลตามหมายจับของประเทศเกาหลีใต้จริง ข้อหาฉ้อโกง มูลค่าความเสียหาย 115,195,588 บาท เหตุเกิดเมื่อปี 2548 มีผู้เสียหายเป็นคนสัญชาติเกาหลีใต้ จำนวน 6 คน ซึ่งทางการประเทศเกาหลีใต้มีความต้องการตัวไปดำเนินคดี
รวมทั้งได้ประสานตำรวจสากล ออกหมายจับหมายแดงไว้เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ต้องหาทั้งสองได้หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2548 รวมเวลา13 ปี และเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2561 ได้มีกลุ่มผู้เสียหายชาวเกาหลีใต้ จำนวน 4 คน จากจำนวนทั้งหมด 15 คน ได้เดินทางจากประเทศเกาหลีใต้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.ท่าม่วง ในข้อหาฉ้อโกง มูลค่าความเสียหายประมาณ 100 ล้านบาท
สำหรับพฤติกรรม คือ เมื่อประมาณปลายปี 2559 ผู้ต้องหาทั้งสองได้ร่วมกันหลอกลวงชักชวนให้ผู้เสียหายทั้ง 15 คน มาร่วมลงทุนก่อสร้างโรงแรมในจังหวัดกาญจนบุรี ชื่อคาวบอย โดยอ้างว่าจะลงทุนสร้างเป็นเมืองท่องเที่ยวสำหรับชาวเกาหลีใต้ โดยเฉพาะ Korean Town โดยผู้ต้องหาได้นำโบรชัวร์นำเสนอโครงการว่าจะก่อสร้างแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร มีทั้งโรงแรม กาสิโน สถานบันเทิง ร้านค้าต่างๆ ในพื้นที่บริเวณโครงการ และได้พาผู้เสียหายมาดูแ ละพักในโครงการดังกล่าว ทำให้ผู้เสียหายทั้งหมดหลงเชื่อ และร่วมลงทุนโดยได้โอนเงินให้แก่ผู้ต้องหาทั้งสองรวมเป็นเงิน จำนวน 100 ล้านบาท สรุปสองสามีภรรยาที่ฉ้อโกงมามากกว่า 200 ล้านบาท
ต่อมา เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ผู้ต้องหาได้แจ้งให้ผู้เสียหายซื้อที่ดินข้างโรงแรมเพิ่มเติมอีก 20 ล้านบาท จึงเกิดความสงสัยที่ผู้ต้องหาขอผัดผ่อนเรื่อยมาว่าจะเปิดกิจการถึง 3 ครั้ง คือครั้งแรก เดือนมิถุนายน ครั้งที่สอง เดือนกันยายน และครั้งที่สาม เดือนธันวาคม 2560
จึงทวงถามกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว และการเปิดกิจการโรงแรมผู้ต้องหาได้ข่มขู่ห้ามผู้เสียหายเดินทางมาในประเทศไทย โดยอ้างว่า มีหมายจับ ผู้เสียหายจึงได้ตรวจสอบปรากฏว่า ไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างแต่อย่างใด จึงเชื่อแน่ว่า ถูกหลอกลวงอย่างแน่นอน จึงได้พากันเดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สภ.ท่าม่วง เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด สำหรับครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่สถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทยมาร่วมรับฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย
พล.ต.ต.พิเชษฐ์ เผยอีกว่า จากการได้พูดคุยกับผู้ต้องหาเบื้องต้นเขายังให้การปฏิเสธ ไม่ยอมรับสารภาพ แต่เขาจะให้การอย่างไรก็ไม่เป็นไร แต่ว่าในการดำเนินการนั้นเรามีหมายจับอยู่แล้ว มีผู้เสียหายชัดเจน เพราะฉะนั้น เรื่องการฉ้อโกงประชาชนเป็นเรื่องที่เราต้องทำอยู่แล้ว ถึงแม้ผู้เสียหายจะเป็นชาวเกาหลีก็ตาม เมื่อความผิดเกิดขึ้นในประเทศไทยก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย ในส่วนเรื่องของการสอบสวน ผู้กำกับ สภ.ท่าม่วง ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนก็จะดำเนินการในเรื่องของการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป สำหรับเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะต้องเอาไว้ภายหลัง ซึ่งเราก็ได้รายงานให้สถานทูตเกาหลีใต้ทราบแล้ว และวันนี้ตัวแทนสถานทูตเกาหลีใต้ ประจำประเทศไทย มาร่วมรับฟังการแถลง และทราบเรื่องแล้ว