อุทัยธานี - สวนลุงอ้วนยังคึกคัก หลังเปิดสวนให้ชิม ชอป ทุเรียน 6 สายพันธุ์สดๆ จากต้น ลูกสาววัย 26 ปี รับสานต่อจากพ่อ ยันขายราคาถูก สด สะอาด ปลอดภัย ไม่ขายส่งอยากให้คนได้กินของดีราคาถูกเหมือนที่พ่อเคยทำ รับรายได้ 10,000 บาทต่อวัน
วันนี้ (6 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการท่องเที่ยว เชิงเกษตรแบบผสมผสาน โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลของผลไม้ ที่สวนลุงอ้วน หมู่ 8 บ้านซับป่าพลูใหม่ ตำบลป่าอ้อ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรผลไม้แบบผสมผสานที่ปลูกผลไม้ไว้หลากหลายชนิดในพื้นที่ 24 ไร่ มีทั้ง ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง มะขามหวาน และมะไฟ
สวนดังกล่าวเปิดให้ประชาชนได้เข้ามาเที่ยวชมสวนและเลือกชิมผลไม้ภายในพร้อมหิ้วเป็นของฝากสดๆ จากสวนเป็นประจำทุกปี ด้วยผลไม้ในสวนนั้นเป็นผลไม้ที่ปลอดสารพิษ สดสะอาด ทั้งยังมีรสชาติอร่อยเป็นเอกลักษณ์ จึงเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนทั้งในและต่างจังหวัดที่มักจะเดินทางมาที่สวนลุงอ้วนกันเป็นประจำในช่วงวันหยุด เพื่อเที่ยวชมสวนแบบธรรมชาติ และยังได้ชิมผลไม้สดๆ จากต้นอีกด้วย
โดย น.ส.ชลธิชา พลฉกรรณ์ อายุ 26 ปี ผู้สืบทอดกิจการสวนผลไม้ต่อจากพ่อ คือ นายธวัชชัย พลฉกรรจ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อลุงอ้วน ได้เล่าว่า หลังจากพ่อเสียไปแล้วตนก็ได้เข้ามาสืบทอดการทำสวนต่อจากพ่ออย่างจริงจังได้ประมาณ 2 ปี โดยยังคงทำทุกอย่างเหมือนเช่นที่พ่อทำ ทุกปีที่สวนจะมีการเปิดสวนแบบบุฟเฟต์รับประชาชนให้เข้ามาเที่ยวชมสวนแบบธรรมชาติ ไปพร้อมกับชิมรสชาติผลไม้สดๆ จากต้นภายในสวน ซึ่งจะเป็นบุฟเฟต์คนละ 100 บาท ราคาเดียว
แต่ด้วยปีนี้สภาพอากาศแปรปรวนบ่อยครั้ง จึงส่งผลให้ผลไม้ที่มีภายในสวนออกช้า และออกไม่ตรงฤดูเท่าที่ควร จึงไม่ได้เปิดสวนบุฟเฟต์ 100 เดียวเหมือนเช่นทุกปี แต่ก็เปิดให้เข้าชมสวนได้ฟรีๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากปีนี้ทุเรียนในสวนจำนวน 6 ไร่นั้นออกผลไว เริ่มเก็บจำหน่ายได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน ที่ผ่านมา โดยทุเรียนในสวนนั้นจะมีอยู่ประมาณ 6 สายพันธุ์ เช่น หลิน-หลง ลับแล, พวงมณี, หมอนทอง, ชะนี จะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท และพันธุ์กระดุมจะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 80 บาท มะไฟ กิโลฯ ละ 20 บาท ส่วนเงาะจะขายอยู่ที่ 3 กิโลฯ ละ 100 บาท ซึ่งจะเป็นราคาขายหลัก และจะขายให้แก่นักท่องเที่ยวในราคานี้ทุกคน ไม่มีการชาร์จราคาแต่อย่างใด และจะไม่ได้ขายส่งให้พ่อแม่ค้าแม่ค้า โดยเฉพาะทุเรียน เพราะอยากให้ประชาชนนั้นได้กินของดีในราคาประหยัด
โดยผลไม้ในสวนที่ประชาชนจะได้รับประทานแน่นอนตลอดเดือนพฤษภาคมนี้จะเป็นทุเรียน มะไฟ และเงาะในบางส่วน เนื่องจากเงาะนั้นจะออกผลจนถึงระยะเวลาเก็บได้ในช่วงประมาณเดือนมิถุนายน โดยเงาะในสวนนั้นจะเป็นพันธุ์นาสาร พันธุ์ที่มาจากทางภาคใต้ ที่เลือกปลูกเงาะพันธุ์นี้ก็เพราะชอบในรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มีเปลือกบาง เนื้อหวาน กรอบ อีกทั้งผลสีเขียวก็ยังสามารถกินได้ จึงทำให้เงาะที่สวนต่างจากเงาะในตลาดทั่วไป ซึ่งช่วงนี้จะยังคงเปิดสวนให้ประชาชนได้เข้าชมสวนและชิมผลไม้อย่างต่อเนื่อง ไปจนกว่าจะหมดฤดูหรือจนกว่าผลไม้จะหมดสวน โดยทุกวันจะมีประชาชนทั้งในและต่างจังหวัดเดินทางมาที่สวน มากที่สุดในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ช่วงนี้จะมีรายได้จากการขายทุเรียนประมาณวันละ 10,000 บาท ถือเป็นยอดขายที่ดี
“แม้บางคนอยากให้ปรับราคาขายทุเรียนขึ้น แต่เรายังคงยืนยันที่จะขายราคาเดิม เพราะอยากให้ประชาชนได้กินผลไม้ของสวนเรา และเป็นผลไม้ที่พ่อนั้นตั้งใจปลูกและดูแลเพื่อรอวันออกผลให้ลูกค้าได้กิน จะตั้งใจทำตามแนวทางที่พ่อได้สอนไว้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมกับปรับปรุงและพัฒนาสวนลุงอ้วน สวนของพ่อนี้ให้คงอยู่ตลอดไป” น.ส.ชลธิชากล่าว