อุตรดิตถ์ - ตำรวจเตรียมส่งตัวชายชาวอุตรดิตถ์วัย 54 เข้ากรุงพบ ผบ.ตร.เพื่อขยายผลหาขบวนการค้ามนุษย์หลังถูกหลอกใช้แรงงานบนเรือหาปลานานถึง 15 ปีไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว ต้องหางานรายทางเก็บเงินซื้อจักรยานปั่นถึงบ้านอุตรดิตถ์
พล.ต.ต.ทินณะรัตน์ เพ็ชรพันธ์ศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรทองแสนขัน เชิญตัวนายเถลิง ยงพูเขียว อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 19/2 หมู่ 2 บ้านแสนขัน ต.บ่อทอง อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ ให้เข้าพบหลังทราบข่าวว่าใช้ชีวิตเร่ร่อนพเนจรออกจากบ้านไปเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน และถูกหลอกไปใช้แรงงานอยู่บนเรือประมงกลางอ่าวไทยอยู่ในพื้นที่จังหวัดพังงาเป็นเวลานานถึง 15 ปี
โดยมีหน้าที่ดึงเชือกลากอวนหาปลาและไม่ได้กลับเข้าฝั่งบนบก ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า กัมพูชา และลาว รวมจำนวนกว่า 60 คน การใช้ชีวิตอยู่บนเรือเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและการกินอยู่ สิ่งที่สำคัญไม่ได้รับค่าแรงสักบาทเดียว ยามเจ็บไข้ได้ป่วยขาดการดูแลที่ดี บางรายทำงานไม่ไหวถือว่าหมดประโยชน์ก็จะถูกจับโยนลงทะเลทันที ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายเกี่ยวกับการค้ามนุษย์โดยตรง และเป็นนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการปราบปราบขบวนการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย
นายเถลิงเดินทางมาพร้อมกับ นายกำจัด ยงพูเขียว อายุ 79 ปี ผู้เป็นพ่อ เข้าพบและพูดคุยกับ พล.ต.ต.ทิณะรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ และใช้เวลาพูดคุยเป็นเวลานานเกือบ 30 นาที พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรทองแสนขันนำตัวเข้ากรุงเทพฯ ทันทีเพื่อเข้าพบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อทำการขยายผลเกี่ยวกับคดีนี้ด้วยตนเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเถลิง หนุ่มเคราะห์ร้ายรายนี้ ได้ออกจากบ้านที่บ้านแสนขัน อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ ไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ขณะนั้นอายุ 24 ปี เพื่อไปหางานทำที่จังหวัดระยอง ในตำแหน่งช่างเชื่อม และออกตระเวนหางานไปทั่วในพื้นที่หลายจังหวัด เช่น สระบุรี ชลบุรี ระยอง สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ครั้งสุดท้ายที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยรับจ้างทำโครงสร้างอาคารโรงงานสับปะรดกระป๋องแต่ถูกผู้รับเหมาเบี้ยวค่าแรง จึงเลิกทำงานและเดินหางานไปเรื่อย
เมื่อถึงบริเวณแพปลาในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร พบกับชายไม่ทราบชื่อ สอบถามพร้อมชักชวนให้มาทำงานเป็นลูกเรือประมงออกทะเลหาปลา แจ้งว่าจะได้รับเงินเดือน เดือนละ 8,500 บาท จึงตอบตกลงไปทำงานด้วย และได้ขึ้นรถไปกับชายคนดังกล่าวพาไปลงที่จังหวัดพังงา มีผู้ร่วมโดยสารไปด้วยประมาณ 15 คน
เมื่อถึงที่พื้นที่จังหวัดพังงาแล้วได้เดินทางต่อด้วยเรือเล็กใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจึงถึงเรือประมงใหญ่ เมื่อลงบนเรือพบเห็นมีคนไทยคาดว่าเป็นผู้ควบคุมทำการคัดแยกคนงานและแบ่งหน้าที่ให้กับทุกคนที่มาใหม่ ซึ่งนายเถลิงรับหน้าที่เป็นคนดึงเชือกลากอวนหาปลา มีไต๋ก๋งเรือประมงเป็นหัวหน้าและควบคุมเรือ โดยภายในเรือมีลูกเรือรวมกันประมาณกว่า 60 คน จะทำงานรอบละ 4 ชั่วโมง จะหยุดพักได้ก็ต่อเมื่องานเสร็จ บางวันก็ไม่ได้พักเลย ทำงานอยู่เป็นเวลา 15 ปีโดยที่ไม่ได้ค่าจ้าง
ต่อมาช่วงเดือนตุลาคม 2560 เรือดังกล่าวได้จอดเข้าเทียบท่าที่จังหวัดพังงา โดยมีเรือเล็กนำคนงานใหม่มาสับเปลี่ยนกับพวกของตนประมาณ 20 คน และได้นั่งเรือเล็กกลับเข้าฝั่งโดยที่ไม่ได้รับค่าจ้างจากการทำงานประมงครั้งนี้ ซึ่งนายเถลิงเองก็ไม่คิดที่จะได้เงินค่าจ้าง เพียงคิดอยากกลับเข้าฝั่งเพื่อกลับบ้านที่จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมีเพียงชุดที่สวมใส่เป็นกางเกงขาก๊วยกับเสื้อแขนยาวใส่ติดตัวเท่านั้น
เมื่อกลับถึงฝั่งพื้นที่จังหวัดพังงาโดยที่ไม่มีเงินติดตัวสักบาท อาศัยเดินไปยังปั๊มน้ำมันและขออาศัยรถที่มาเติมน้ำมันเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ ให้ใกล้ที่สุด เมื่อถึงจังหวัดนครปฐม จึงยึดอาชีพรับจ้างทำงานก่อสร้างเพื่อหาเงินเดินทางกลับบ้าน พอมีเงินจำนวน 2,500 บาทตัดสินใจซื้อรถจักรยานทันทีเพื่อปั่นถีบกลับบ้านที่ทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ และเพื่อตามหาลูกสาว ด้วยระยะทางเกือบ 600 กิโลเมตร ปั่นวันละเกือบ 60 กิโลเมตร เป็นเวลา 15 วัน จึงถึงทองแสนขันที่บ้าน
เหตุผลที่ต้องปั่นรถจักรยานกลับบ้านเพราะบัตรประชาชนไม่มีถูกยึดโดยไต๋ก๋งเรือ ทวงถามก็ปฏิเสธที่จะให้ จึงไม่อยากทวงอีก
ด้านนายกำจัด ผู้เป็นพ่อ กล่าวว่า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์สอบถามลูกชายถึงการเดินทางไปทำงานบนเรือตังเกพื้นที่จังหวัดพังงา เดินทางไปกับใคร เรือที่รับส่งเป็นช่วงก่อนขึ้นเรือตังเกหาปลาใหญ่ชื่ออะไร รวมถึงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครจุดเริ่มต้นก่อนไปจังหวัดพังงา เป็นการหาข้อมูลเบื้องต้นเพื่อรายงานให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้รับทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ผมรู้สึกดีใจที่ลูกชายได้กลับมาบ้าน เหมือนถูกรางวัลที่ 1”
ส่วนที่บ้านนายกำจัด พ่อของนายเถลิง มีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย แรงงานจังหวัดอุตรดิตถ์ จัดหางานจังหวัดอุตรดิตถ์ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดอุตรดิตถ์เข้าสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจาก น.ส.นัทธมน ยงพูเขียว บุตรสาว และนายกำจัด เพื่อหาทางช่วยเหลือนายเถลิง หนุ่มผู้เคราะห์ร้ายต่อไป
โดยเฉพาะเรื่องตำแหน่งงานที่นายเถลิงอยากได้ทำงานเป็นช่างเชื่อม เนื่องจากถนัดงานนี้มากที่สุดและอยู่ระหว่างตกงานยังไม่มีงานทำแต่อย่างใด
น.ส.นัทธมนกล่าวว่า ตั้งแต่เกิดอายุได้ประมาณ 3 เดือนแม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนพ่อก็หายตัวไปตั้งแต่อายุ 2 ขวบเศษ เป็นลูกเพียงคนเดียว มีคุณยายเลี้ยงดูมาระยะหนึ่ง จากนั้นคุณปู่และคุณย่าก็นำมาเลี้ยงดูแลต่อ ไม่เคยพบและเห็นหน้าพ่อมาตั้งแต่เกิดเป็นเวลานานถึง 29 ปี ปัจจุบันอายุได้ 31 ปี รู้สึกดีใจที่ได้พบและเห็นหน้าพ่อ รู้จากญาติมาแจ้งบอกว่าพ่อกลับมาบ้านแล้ว
ทั้งที่ตนยังคิดอยู่ว่า “พ่อยังมีชีวิตอยู่หรือตายจากไปแล้ว” อาศัยเปิดดูรูปภาพในอัลบั้มงานแต่งระหว่างพ่อกับแม่ที่ปู่กับย่าเก็บรักษาเอาไว้ให้ ช่วงทำบุญใส่บาตรทุกวันพระมักจะอุทิศส่วนบุญกุศลให้คุณพ่อและคุณแม่เสมอ ไม่คิดว่าคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่
พ่อเล่าให้ฟังว่า ชีวิตบนเรือไม่มีทางเลือก เป็นชีวิตที่โหดมาก หากเจ็บไข้ได้ป่วยทำงานให้เขาไม่ได้เขาก็จะไม่เอาไว้และจับโยนลงทะเลทันทีเพื่อเป็นอาหารให้กับปลา กระทำเหมือนไม่ใช่คน เป็นสิ่งที่พ่อเล่าให้ฟังถึงชีวิตที่อยู่บนเรือกลางทะเลเป็นเวลานานถึง 15 ปี ส่วนที่เหลืออีกเกือบ 15 ปีเป็นชีวิตที่ระหกระเหินทำงานยังสถานที่ต่างๆ ในหลายจังหวัด หลังพ่อเล่าให้ฟังแล้วรู้สึกสงสารพ่อที่พบเจอแต่เหตุการณ์ที่เลวร้ายมาเยอะ