ศูนย์ข่าวศรีราชา - ทุบแล้ว บ้านสุขาวดี ยอมรื้ออาคารรุกทางสาธารณประโยชน์แล้ว หลังเมืองพัทยา ร่วม สนง.ที่ดิน ลงตรวจสอบพื้นที่พบมีปัญหา ทั้งยังยอมเปิดทางต่อเชื่อมถนนซอยบางละมุง ก่อนสั่งทำแนวกั้นบนทางสาธารณะริมชายหาด ห้ามรถบัสสัญจรเด็ดขาดเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ ขณะที่อาคารขนาดใหญ่บนแปลงที่ดินตามระวางที่ระบุว่าเป็น “ทะเล” กินพื้นที่กว่า 11 ไร่เศษ เตรียมเสนอปิดหมายรื้อถอน พบก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต
จากกรณีที่เมืองพัทยา ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ ร่วมกับอำเภอบางละมุง สำนักงานเจ้าท่าพัทยา และสำนักงานที่ดิน รวมทั้งกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจ ลงพื้นที่ตรวจสอบแนวเขตที่ดินสาธารณะบริเวณด้านหลัง “บ้านสุขาวดี” ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังได้รับรายงานว่า มีการปลูกสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตภายในพื้นที่สาธารณะริมทะเล อีกทั้งยังมีการปิดทางถนนสาธารณะโดยมีการก่อสร้างกำแพงปิดกั้น และก่อสร้างอาคารเพื่อใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต และยังฝ่าฝืนคำสั่งที่เมืองพัทยา ห้ามไม่ให้นำรถโดยสารขนาดใหญ่วิ่งรับส่งนักท่องเที่ยวบนฟุตปาธสาธารณะริมชายหาด จนทำให้ถนนเกิดความเสียหาย
และจากการตรวจสอบแผนที่โดยสังเขป และการรังวัดของสำนักงานที่ดิน จ.ชลบุรี สาขาอำเภอบางละมุง พบว่า แปลงที่ดินบริเวณที่ติดกับฟุตปาธริมทะเล ที่ตามเอกสารระบุว่า เป็น “ทะเล” ในพื้นที่ 11 ไร่เศษ ซึ่งมีแนวติดกับที่ดินของวัดช่องลม นาเกลือ นั้น ปัจจุบันมีสภาพเป็นที่ดินแปลงขนาดใหญ่ ที่พบว่า บ้านสุขาวดี ได้ทำการจัดตกแต่งสวน พร้อมปลูกสร้างอาคารขนาดใหญ่ รวมทั้งมีการจัดทำรั้วบริเวณริมฟุตปาธชายทะเลคล้ายเป็นที่ส่วนบุคคล ซึ่งอาคารเหล่านี้ทางเจ้าหน้าที่ระบุว่า ไม่ได้มีการขออนุญาตก่อสร้างตามกฎหมาย
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า ภายในขอบเขตของบ้านสุขาวดี มีทางสาธารณประ โยชน์ ขนาด 6x150 เมตร จำนวน 1 เส้น ที่ต่อเชื่อมจากถนนสาธารณะของซอยบางละมุง 8 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งมีการระบุไว้ว่า มีการยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2530 ที่ผ่านมา แต่ต่อมาพบว่า ทางบ้านสุขาวดี ได้ทำกำแพงรั้วปิดกั้นทางไว้ และมีการก่อสร้างอาคารทับทางดังกล่าว ซึ่งกรณีนี้เมืองพัทยาได้ทำการกำหนดแนวเขต และขอความร่วมมือจาก บ้านสุขาวดี ให้ทำการเปิดทาง และรื้อถอนอาคารในส่วนที่รุกล้ำทาง รวมทั้งมีแผนจะทำแนวรั้วเหล็กบนทางสาธารณะริมชายหาดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำรถบัสขนาดใหญ่มาวิ่งรับส่งนักท่องเที่ยว ซึ่งมีกำหนดดำเนินการในวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์นั้น
ในวันนี้ (22 ก.พ.) พล.ต.ต.อนันต์ เจริญชาศรี นายกเมืองพัทยา พร้อมด้วย นายวิเชียร พงษ์พานิชย์ รองนายกเมืองพัทยา นำเจ้าหน้าที่สำนักการช่างเมืองพัทยา ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า โดยมี ดร.ปัญญา โชติเทวัญ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด พร้อมคณะร่วมให้การต้อนรับ ซึ่งจากการตรวจสอบพื้นที่ภายในบ้านสุขาวดี โดยเฉพาะในส่วนที่ระบุว่า มีการก่อสร้างอาคารทับทางสาธารณประโยชน์นั้น เบื้องต้น พบว่า บ้านสุขาวดีได้ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวบางส่วนแล้ว
โดยพบว่าเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ก่อสร้างติดกับกำแพงที่ต่อเชื่อมกับถนนสาธารณะ ซอยบางละมุง 8 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งมีแนวทับทางสาธารณประโยชน์ขนาด 6x150 เมตร โดยมีการนำรถแบ็กโฮพร้อมคนงานเข้าทำการทุบทำลายเพื่อเปิดทางแนวกว้างประมาณ 10 เมตร ซึ่งระบุว่า จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเร็ววันนี้
จากนั้นยังได้ลงพื้นที่สำรวจแนวที่ดินขนาดใหญ่ จำนวน 11 ไร่ ซึ่งปัจจุบันพบว่า มีการปรับปรุงจนมีทัศนียภาพสวยงาม และมีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่หลายร้อยตารางเมตรอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว จำนวน 1 หลัง ซึ่งกรณีดังกล่าวทางเมืองพัทยาจะเร่งหารือกับสำนักงานเจ้าท่าพัทยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดูความเป็นมาของที่ดิน และเอกสารที่ถูกต้อง ก่อนดำเนินการตามขั้นตอน ขณะที่ในส่วนของอาคารขนาดใหญ่นั้นระบุว่า เป็นการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะมีการนำเสนอตามขั้นตอนเพื่อขออนุมัติคำสั่งตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคารต่อไป
ขณะที่ปัญหาการนำรถบัสโดยสารขนาดใหญ่มาสัญจรบนทางสาธารณประโยชน์ริมชายหาดนั้น กรณีดังกล่าวเมืองพัทยาจะชะลอการติดตัวรั้วแนวกั้นรถที่กำหนดไว้แต่เดิมในวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ออกไปอีก 30 วัน เพื่อรอเวลาการรื้อถอนอาคารของบ้านสุขาวดีในส่วนอาคารที่ทับทางสาธารณประโยชน์ เพื่อใช้เป็นทางเข้าออกแทน จากนั้นก็จะมาทำแนวรั้วกั้นเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในการพักผ่อน และชมทิวทัศน์ โดยจะไม่อนุญาตให้รถเข้ามาสัญจรได้อีกในอนาคต
นายวิเชียร พงษ์พานิชย์ รองนายกเมืองพัทยา เผยว่า การดำเนินงานเป็นไปตามขั้นตอนและกลไกทางกฎหมาย โดยเฉพาะกรณีของการทวงคืนที่ดินสาธารณะให้แก่แผ่นดิน ซึ่งเป็นนโยบายหลัก และก็ไม่มีได้มีเจตนากลั่นแกล้ง หรือรังแกใคร ซึ่งปัจจุบันก็พบว่า ทางบ้านสุขาวดีก็ให้ความร่วมมือด้วยดีในการรื้อถอนอาคารในส่วนที่รุกล้ำทางสาธารณประโยชน์ไปแล้ว
ขณะที่อาคารบนที่ดินริมทะเลขนาด 11 ไร่นั้น ต้องเป็นเรื่องของการตรวจสอบที่มา และเอกสาร รวมทั้งความเป็นมาที่ชัดเจนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเบื้องต้นทราบว่า ในอดีตเป็นปากคลองสาธารณประโยชน์ และเคยมีการร้องขอจากทางบ้านสุขาวดีเพื่อขอออกมาโฉนดมาแล้วในปี 2547
“เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานที่ดิน สาขาอำเภอบางละมุง ไม่ได้อนุญาตให้ตามการนำเสนอ เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช้ที่งอกตามธรรมชาติ เรื่องจึงเงียบหายไปกระทั่งมีปัญหาในปัจจุบัน ส่วนกรณีที่ทางบ้านสุขาวดี แจ้งว่า หากจะขอทำการเช่าพื้นที่ดังกล่าวได้หรือไม่นั้นคงต้องไปหารือ และดูเรื่องของกฎหมายว่ามีข้อห้าม และอนุญาตในที่สาธารณะได้อย่างไรหรือไม่ต่อไป” นายวิเชียร กล่าว