สุรินทร์ - ตำรวจจริงเมืองช้างตามรวบตำรวจปลอม “กูนิผู้กอง” เมากร่างอ้างตัวเป็นผู้กองและตำรวจสายสืบ เรียกตรวจรถ ค้นกระเป๋าชาวบ้าน เจอหนุ่มเมืองช้างใจถึงถูกเรียกตรวจแถมจะยัดยาบ้าจึงถ่ายคลิปมาโพสต์ประจานในโลกโซเชียล ถูกก่นด่าอื้อ ยอดวิวทะลุ 3 ล้าน แชร์สนั่นกว่า 5 หมื่นครั้ง ขณะตำรวจปลอมสารภาพสิ้น ยกมือไหว้ขอโทษสังคม อ้างเมาและทำเพราะอยากเป็นตำรวจ
หลังจากหนุ่มเมืองช้าง ใช้ชื่อ “เสี่ยมอส ซุ้มบิ๊กสุรินทร์” ได้โพสต์ข้อความและคลิปวิดีโอประกอบ ระบุว่า เมื่อวานวันที่ 26/01/61 ผมเจอกลุ่มโบกรถ สุ่มตรวจกระเป๋า ข้างถนน หมู่บ้านเสม็ดตำบล นอกเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ผมขี่ตามหลังป้าคนหนึ่ง ซึ่งป้าคนนั้นโดนโบกให้จอดรถ แล้วโดนค้นกระเป๋า ผมเห็นคนกลุ่มนี้เมามาก และอ้างว่าตัวเองเป็นตำรวจ อีกคนว่าเป็นสายตรวจ ผมก็เลยไปช่วยคนที่ถูกค้นกระเป๋า ผมเลยบอกป้าคนนั้นว่าเขาไม่ใช่ตำรวจและสายตรวจใดๆ ทั้งสิ้น ผมให้ป้าขับรถกลับก่อน
เขาล็อกกระชากกระเป๋าผมแล้วบอกทีมเขาให้ยัดยาผม เขาล็อกคอผมแล้วจะทำร้าย มีพี่ชายคนหนึ่งออกมาช่วยผม ช่วยห้ามไว้แล้วเขาก็ขี่รถหนีไป ฝากพี่น้องช่วยแชร์ด้วยน่ะครับ” ซึ่งมีผู้เข้ามาแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ต่อว่าหนุ่มในคลิปที่อ้างตัวเป็นตำรวจสายสืบเป็นจำนวนมาก ยอดวิวทะลุกว่า 3 ล้านครั้ง และแชร์มากกว่า 5 หมื่นครั้งนั้น
ล่าสุดวันนี้ (28 ม.ค.) พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผู้บังคับการตำรวจภูธรสุรินทร์ (ผบก.ภ.จว.สุรินทร์) พ.ต.อ.สมเจตน์ กาบคำ รอง ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ พ.ต.อ.จเร สุปิรยะ ผู้กำกับการ (ผกก.) สืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ พ.ต.อ.ยศวัจน์ งามสง่า ผกก.เมืองสุรินทร์ (ผกก.สภ.เมืองสุรินทร์) ได้สั่งการชุดสืบสวนได้ออกติดตามตัวผู้ก่อเหตุ กรณีมีการลงคลิปบุคคลที่อ้างตัวเป็นผู้กองและตำรวจสายสืบเรียกตรวจค้นประชาชนแล้วมีการโต้เถียงกัน
จากการตรวจสอบบุคคลตามคลิปดังกล่าวข้อเท็จจริงปรากฏว่า บุคคลทั้งสองชื่อ นายสากิต หวังชอบ "วิรัต" อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68 ม.5 บ้านตะถึงไถง ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ และ นายวิโรจน์ หวังชอบ "ลี่" อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 69 ม.5 ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์
ทราบว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน มีอาชีพรับจ้างทั่วไป มีพฤติการณ์ชอบออกตระเวนไปดื่มสุรากับเพื่อนฝูง เมื่อเมาแล้วมักจะสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้เพื่อนบ้านเป็นประจำ ชุดสืบสวนได้ติดตามพบนายรัต และนายลี่ อยู่ที่บ้าน
จึงสอบถามยอมรับว่าได้ร่วมกันก่อเหตุดังกล่าวจริง เนื่องจากได้ดื่มเหล้าเกิดอาการมึนเมาแล้วพบผู้เสียหายขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาด้วยความเร็ว เกรงว่าจะเฉี่ยวชนตนเอง จึงเรียกให้หยุดแล้วแอบอ้างว่าเป็นตำรวจยศผู้กองและสายสืบ เพื่อให้ผู้เสียหายยินยอมและเกิดความเกรงกลัว เมื่อผู้เสียหายเห็นพิรุธจึงถ่ายคลิปวิดีโอไว้เพื่อเป็นหลักฐาน สถานที่เกิดเหตุตามคลิปบริเวณสามแยกทางเข้าวัดบ้านเสม็ด ม.12 ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 61 เวลาประมาณ 17.00 น.
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ข่มขู่ประชาชน สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน และแจ้งไปยังประชาชนรายอื่น หากได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของชายทั้งสองคนให้มาแจ้งความเพิ่มเติมได้ที่ สภ.เมืองสุรินทร์
นายสากิต หวังชอบ หรือ “วิรัต” อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาที่อ้างเป็นตำรวจ ได้ยกมือไหว้ขอโทษต่อสังคม บอกตนเองทำลงไปเพราะเมามากขาดสติสัมปชัญญะ ตอนนี้รู้สึกอายมากเพราะมีคนมาต่อว่าเป็นจำนวนมาก ตนยืนยันว่าไม่ได้เป็นตำรวจ และทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียหาย ตนขอโทษด้วย และตนรักอาชีพตำรวจ ที่ทำลงไปเพราะอยากเป็นตำรวจ
ขณะที่ นายภูวนารถ เหมือนถวิล อายุ 23 ปี บ้านเลขที่ 55/1 หมู่ 5 บ้านตะตึงไถง ต.นอกเมือง อ.เมืองสุรินทร์ หรือผู้ใช้ชื่อเฟซบุ๊ก “เสี่ยมอส ซุ้มบิ๊กสุรินทร์” เจ้าของคลิปวิดีโอ เปิดใจวันเกิดเหตุว่า วันที่เกิดเหตุ ค่ำวันที่ 26 ม.ค. ตนขี่รถจักรยานยนต์ไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มหลังมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เจอกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขี่รถจักรยานยนต์มาด้วยกัน 2 คัน คันละ 2 คน เรียกให้ตนหยุด ตนก็หยุดรถ คนที่อ้างว่าเป็นตำรวจสายสืบนั้นตนก็รู้จักเขาเพราะเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน เขาบอกว่าเขาเป็นสายสืบ เขากำลังคุยกับป้าที่จอดรถจักรยานยนต์คุยกันอยู่ ตนบอกว่าพี่ไม่ได้เป็นตำรวจสายสืบแล้วขอค้นกระเป๋าป้าและหยิบกระเป๋าไปค้นทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ ตนจึงเอากระเป๋าคืนให้ป้าไปแล้วให้ป้าขี่รถออกไป และตนก็คุยกับเขาต่อ
จากนั้นตนถ่ายคลิปคนที่อ้างตัวเป็นสายตำรวจเขาก็เอามือมาปัด ตนเลยโทรศัพท์หาพี่ชายให้มาช่วย ช่วงที่ตนเดินถอยหลังเพื่อเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์พี่ชาย คนที่อ้างว่าเป็น “ผู้กอง” บอกว่า “ยัดยามันเลย” แล้วก็เข้ามาล็อกคอตนกดตนนั่งคุกเข่ากับพื้นถนน ทำให้เป็นแผลที่คอ และที่หัวเข่า จากนั้นพี่ชายก็มาช่วย และให้ขอโทษเขา เพราะเขามากันหลายคน พี่ชายบอกถึง 3 ครั้งตนก็ยอมขอโทษเขา จึงได้ปล่อยตัวและแยกย้ายกัน จนกระทั่งตนนำภาพไปโพสต์ในเฟซบุ๊กมีผู้เข้ามาแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะด่าคนที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบ