นครปฐม - เมืองเจดีย์ใหญ่ พบวัลลี 2 นักเรียน ป.6 ยอดกตัญญู ขาดเรียนกว่า 1 เดือน เพื่อดูแลแม่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ล่าสุด แม่เด็กอาการโคม่า สลด แพทย์แจ้งญาติเซ็นยินยอมให้ยาครั้งสุดท้าย พร้อมบอกให้ทำใจ ขณะผู้อำนวยการโรงเรียนต้นสังกัดประสานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าให้การช่วยเหลือ และเตรียมประสานญาติรับไปดูแลอุปการะ
วันนี้ (29 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการประสานจาก นายกิ่ง ลิ้มประสาท ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองกะโดน ตำบลบ้านยาง อำเภอเมืองนครปฐม ว่า มีเด็กนักเรียนหญิงยอดกตัญญู ต้องหยุดเรียนเป็นประจำ ล่าสุด ขาดเรียนกว่า 1 เดือน เพราะต้องดูแลแม่ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย โดยต้องทำหน้าที่ป้อนยา ป้อนอาหาร เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ผู้เป็นแม่ อาการทรุดหนักเข้าสู่ระยะสุดท้าย หลังเข้ารักษาด่วนที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม แต่แพทย์แจ้งญาติให้ทำใจ พร้อมให้เซ็นเอกสารยินยอมในการเข้ารับการรักษา
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เดินทางไปตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 18 หมู่ที่ 9 ต.บ้านยาง อ.เมือง จ.นครปฐม พบ นายชาญ ดียิ่ง อายุ 61 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่ให้ครอบครัวของ ด.ญ.บุญญรัตน์ หรือน้องเฟิร์น อายุ 12 ปี พักอาศัย โดยบ้านหลังดังกล่าวเป็นลักษณะปูนก่อชั้นเดียวสภาพทรุดโทรม ภายในมีการกั้นแบ่งห้องพัก 3 ห้อง เนื่องจากอาศัยอยู่รวมกันหลายครอบครัว ซึ่งครอบครัวของ ด.ญ.บุญยรัตน์ มีกันอยู่ 3 คน
นายชาญ เจ้าของบ้านบอกว่า ครอบครัวนี้มี นายขุน ทีปะลา อายุ 45 ปี ได้มาขอพักอาศัย ซึ่งตนก็ได้อนุญาตเพราะเห็นว่ามีความคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก และนายขุน ก็มีความประพฤติดี จนมาช่วงต้นปี 60 นายขุน ได้ขออนุญาตพา นางภัสสร สาละสาลิน อายุ 38 ปี ภรรยา พร้อมบุตรสาว คือน้องเฟิร์น มาพักอาศัยรวมอยู่ด้วย โดยตอนแรกก็เห็นว่าครอบครัวนี้ใช้ชีวิตกันตามปกติ ส่วนนางภัสสร ก็ดูร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง จนมาช่วงกลางปีที่ผ่านมา นางภัสสร ได้มีการปวดท้อง ท้องอืดอยู่บ่อยครั้ง จึงได้พบแพทย์ แต่กลับตรวจพบว่า นางภัสสร เป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ระยะสุดท้าย
ซึ่งเมื่อทราบอาการ นางภัสสร ก็ร่างกายทรุดต่อเนื่องภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ทำให้ น้องเฟิร์น จำเป็นต้องหยุดเรียนเพื่อคอยดูแลแม่ที่ป่วย ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ส่วนนายขุน ซึ่งเป็นสามีใหม่ และเป็นพ่อเลี้ยงของน้องเฟิร์น ต้องออกไปทำงานเพียงคนเดียว ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่ายา ค่ารักษา และซื้อของใช้จำเป็น อีกทั้งบางวันก็ต้องกลับมาช่วยเหลือน้องเฟิร์น ดูแลนางภัสสรด้วย
โดย น.ส.แสงอรุณ ศรฤทธิ์ เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดนครปฐม พร้อมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมทีมเจ้าหน้าที่ก็ได้เดินทางลงพื้นที่สำรวจดูสภาพบ้านของ นางภัสสร และเดินทางไปพบกับ นายขุน และน้องเฟิร์น ที่อาคารทวารวดี โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม เพื่อสอบถามถึงอาการของ นางภัสสร ซึ่งตอนนี้ทราบว่า อยู่ในขั้นวิกฤต โดยมีพี่สาวของนางภัสสร ได้เดินทางมาเซ็นยินยอมในการให้ยารักษาครั้งสุดท้าย ขณะที่ตัวของน้องเฟิร์น เองยังไม่รู้ว่าแม่ป่วยหนักอยู่ในขั้นวิกฤต
เบื้องต้น ได้มีการสอบถามเกี่ยวกับญาติของ นางภัสสร ที่แจ้งว่า สามารถรับเลี้ยงดูอุปการะน้องเฟิร์นได้ แต่ทั้งนี้ ก็ต้องมีการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อดูความพร้อมที่ชัดเจนก่อน ส่วนเบื้องต้น จะทำเรื่องช่วยเหลือมอบเงินให้ครอบครัวน้องเฟิร์น โดยเป็นเงินในส่วนของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดนครปฐม จำนวน 2,000 บาท และของบ้านพักเด็ก จำนวน 1,000 บาท และหลังจากนี้ ก็จะเร่งประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมช่วยเหลือน้องเฟิร์น
ทั้งในด้านการหาผู้ปกครองอุปการะเลี้ยงดู และด้านการศึกษา ซึ่งทราบจากทางโรงเรียนว่าจะให้การช่วยเหลือน้องเฟิร์น อย่างเต็มที่จนจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อจะได้สะดวกต่อการย้ายไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น กรณีหากต้องย้ายไปอยู่กับยาย จังหวัดกาญจนบุรี
ส่วนจากการพูดคุยกับน้องเฟิร์น ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการสอบถามว่า หาก นางภัสสร มารดา รักษาอาการป่วยไม่หาย และไม่ได้อยู่กับน้องเฟิร์นแล้ว น้องเฟิร์น อยากจะอยู่กับใคร ด้านน้องเฟิร์น ก็บอกว่า อยากอยู่กับป้าที่จังหวัดนครปฐม เพราะสะดวกในการเดินทางไปเรียนหนังสือ แต่ถ้าไปอยู่กับยาย ยายไม่มีรถ และกลัวว่ายายจะลำบาก และยังตอบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า ถ้าแม่อาการไม่ดีขึ้น หรือรักษาไม่หายก็คงต้องทำใจให้แม่จากไปตามธรรมชาติ ส่วนตนก็จะตั้งใจเรียนหนังสือ และทำตามความฝันของแม่ที่อยากให้ตนเปิดร้านเสริมสวย
โดยบรรยากาศดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาให้การช่วยเหลือถึงกับซึ้งถึงน้ำใจของเด็กหญิงวัยเพียง 12 ปี แต่มีความกตัญญู และรักการเรียนหนังสือของน้องเฟิร์น คล้ายกับพฤติกรรมของ ด.ห.ญวัลลี ที่มีลักษณะดังกล่าว จนเป็นข่าวดังเมื่อหลายสิบปีก่อน
