ลำปาง - รองนายกฯ “สมคิด” เปิดเวทีสัมมนา SOE CEO Forum 2017 ปลุกซีอีโอติดเครื่องรัฐวิสาหกิจดันเศรษฐกิจชาติ ใช้ Big Data เชื่อมประสานการทุกองค์กร ร่วมพัฒนาชุมชนท้องถิ่น หนุนเศรษฐกิจฐานราก ขจัดความยากจน
วันนี้ (24 พ.ย.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ประธานเปิดสัมมนาผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ SOE CEO Forum 2017 ที่ห้องประชุมอาคารประชาสัมพันธ์ กฟผ.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง โดยมีผู้นำองค์กรของรัฐวิสาหกิจ เช่น ธนาคารกรุงไทย, SME Bank, ธนาคารออมสิน, ธ.ก.ส., EXIM Bank, ธนาคารอิสลาม, บสย., ปณท, NCB รวมถึง บมจ.อสมท เข้าร่วม เพื่อรวมพลังรัฐวิสาหกิจให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูงโดยการใช้เรื่อง Big Data ของรัฐวิสาหกิจ ผลักดันให้เกิดการทำงานที่เชื่อมประสานกันอย่างลงตัวและเกิดประโยชน์ต่อประเทศ
นายสมคิดกล่าวเปิดการสัมมนาว่า มาถึงขณะนี้ตนเองสามารถประกาศได้เลยว่า ประเทศไทยได้พ้นจากสภาวะที่ไทยเราถดถอยแล้ว วันแรกที่เข้ามาได้วางภารกิจไว้ 2 อย่าง อย่างแรกคือ ไม่ให้เศรฐกิจทรุดไปกว่าที่เป็นอยู่ คือต่ำกว่า 0.8-0 ประเทศแย่ และ 2. คือการขับเคลื่อนการปฏิรูป ตอนนี้ภารกิจแรกเสร็จสิ้นแล้ว
ส่วนเรื่องความยากจนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเป็นปัญหาที่สะสมมาไม่รู้กี่สิบรัฐบาล ไม่ใช่จะมาชี้นิ้วบอกให้หยุดและทำเพื่อคนจน หากคอมเมนต์แบบนั้นขอให้เปลี่ยนอาชีพดีกว่า เพราะความยากจนเรารู้ว่าเป็นเรื่องของโครงสร้าง เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องของการเข้าไปถึงความเจริญ การศึกษา สาธารณสุข ขาดแหล่งรายได้เพิ่มเติม ทุกฝ่ายต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันจึงจะค่อยดีขึ้น และในปีนี้นายกรัฐมนตรีจึงได้ทุ่มเทโดยบอกว่าต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้ดีที่สุด เพราะกรอบใกญ่เริ่มดีแล้ว ต่อไปกรอบอื่นๆ จะทำได้ง่ายขึ้นถ้าเราตั้งใจจริง ฉะนั้นเดือนนี้ปีนี้จะโฟกัสเป็นพิเศษไปที่การพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาเศรษฐกิจรากหญ้าให้มากขึ้น พยายามดึงให้มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน
“แม่เมาะ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สุดยอด จะเห็นรัฐวิสาหกิจทุกแห่งมีครบเครื่องที่จะสามารถช่วยท้องถิ่น และคนยากจน แต่ที่ผ่านมาเหมือนสายไฟที่ไม่ได้เชื่อมกัน หากนำมาเชื่อมโยงกันได้ และสตาร์ทไปพร้อมกัน รับรองเครื่องยนต์ทั้งหมดจะติดแน่นอน นั่นคือความตั้งใจที่จะให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ต้องการให้คนจนหมดไป”
ดังนั้น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การทำงานขั้นตอนมีหลายช่วงจะเห็นว่า ช่วงแรกการบริโภคก็ไม่ดี การส่งออกก็ย่ำแย่ ความเชื่อมั่นก็หาย หลังทำตามนโยบายที่นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายก็จะเห็นได้ว่า รัฐวิสาหกิจ กระทรวงต่างๆที่ขับเคลื่อนด้านงบประมาณ โดยเฉพาะงบลงทุนจะเห็นว่า มีการขับเคลื่อนเร็ว แรง เพื่อให้เกิดการเติบโต หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจไว้ เพราะหากคนเราความเชื่อมั่นไม่มี และจีดีพียิ่งลดลง ก็ยิ่งจะทำให้แย่ แต่พอรัฐวิสาหกิจเข้ามา ก็สามารถหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้นมาได้ และไล่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ จาก 2.8 เป็น 2.9 และ 3.2 เมื่อได้จังหวะก็ยิงโครงการลงไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต้องขอชมเชยรัฐวิสาหกิจว่า ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาผลงานของรัฐวิสาหกิจมากจริงๆ
กรณีสนามบิน ไม่จำเป็นต้องมาสร้างในลำปาง ไม่จำเป็นต้องสร้างใหญ่ เพราะจะได้ลูกค้าเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่ควรคิดว่าจะทำอย่างไรให้ดึงคนที่มาถึงเชียงใหม่ ซึ่งเดินทางต่อมาลำปางเพียง 1-2 ชั่วโมง มาอยู่ที่ลำปางให้ได้ ตอนนี้ต้องมาคิดว่าอะไรคืออัตลักษณ์ของเรา แล้วพัฒนาตรงนั้น แบบนี้จะไปได้
ส่วนคนไม่มีทางเลือก หากมีโอกาสได้การศึกษา มีโอกาสได้เงินลงทุนเพื่อสร้างอนาคตข้างหน้า เมื่อรายได้ดีขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น หนี้สินเดิมที่ค้างที่เคยผ่อนก็จะเริ่มหายไป นั่นแหละที่จะทำให้คนหายจนได้ หากคนจนไม่มีโอกาสก็จะยิ่งจนๆ และจนดักดานไปเรื่อยๆ
ดังนั้น หนึ่งปีต่อจากนี้ไป สถาบันการเงินจะรวมตัวกัน จะให้มีการรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อเชื่อมโยงและช่วยเหลือกัน และแยกกลุ่มเป้าหมายให้แต่ละสถาบันการเงินรับผิดชอบที่ชัดเจน ขาดเหลือตรงไหนก็แชร์กัน หากช่วยเหลือภายในประเทภศได้แล้ว ก็ใช้ความสามารถไปต่อยังต่างประเทศได้ หากมองให้ดีๆ จะเห็นว่ารัฐวิสาหกิจสามารถเกื้อกูลชาติได้ โดยการสร้างงาน สร้างชุมชน และไปต่อต่างประเทศได้
ทั้งนี้ จากข้อมูลผู้ประกอบการ SME จะเห็นว่าภาคเหนือมีกลุ่มผู้ประกอบการ SME ขนาดกลาง แต่รายได้ของ SME กลับน้อยที่สุดของประเทศ ดังนั้นการแชร์ข้อมูลจากหน่วยงานที่มีข้อมูลอยู่แล้วมารวมกัน ก็จะสามารถที่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์ตรงนี้ได้