ลำปาง - เหิมหนักแก๊งปาหินลำปาง ดักปาหินใส่รถตู้พยาบาลท่ามกลางหมอกลงหนาจัด โชคดีคนขับตั้งสติชะลอรถจอดข้างทางได้ ก่อนจะแจ้งตำรวจเข้าตรวจสอบ เผยแก๊งชั่วก่อเหตุมาหลายครั้ง คาดหวังให้เกิดอุบัติเหตุ ก่อนเข้าปลดทรัพย์
สายวันนี้(11 พ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศูนย์วิทยุตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง 191 รับแจ้งจากพนักงานขับรถพยาบาลของโรงพยาบาลสบปราบ ว่า ถูกแก๊งปาหินใส่ที่กระจกด้านหน้ารถ บริเวณถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ฝั่งขาล่อง บริเวณบ้านนาแก้วตะวันออก หมู่ที่ 1 ต.นาแสง อ.เกาะคา จึงประสาน ร.ต.ท.อดิเรก เนตรคำยวง รองสารวัตรปราบปราม สภ.เกาะคา และเจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ
เมื่อไปถึงพบรถตู้โตโยต้า สีขาวหมายเลขทะเบียน กฉ 9538 ลำปาง ซึ่งเป็นรถพยาบาลของโรงพยาบาลสบปราบ เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน จอดอยู่ข้างทางก่อนถึงทางกลับรถบ้านนาแก้วตะวันออก สภาพกระจกด้านหน้ารถ มีรอยถูกของแข็งกระแทกอย่างแรง จนแตกมีรอยร้าวเป็นวงกว้าง
จากการสอบถามนายนพพร ป้องแก้ว อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นคนขับรถคันดังกล่าว เล่าว่า หลังจากที่ขับรถนำคนไข้ส่งที่โรงพยาบาลลำปางแล้ว กำลังเดินทางกลับโรงพยาบาลสบปราบ เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่จอดรถประมาณ 100 เมตร ท่ามกลางหมอกที่ลงมาหนาจัด จู่ๆก็มีสิ่งของบางอย่างตกมาใส่กระจกหน้ารถ เศษกระจกแตกกระเด็นมาใส่ตน และพยาบาลที่นั่งมาด้วย
หลังเกิดเหตุตนพยายามตั้งสติ ชะลอความเร็ว และประคองรถไม่ให้เสียหลักตกข้างทาง ก่อนจะจอดรถตรงจุดกลับรถ จากนั้นจึงเปิดประตูลงมาดูพบว่า กระจกรถด้านหน้ามีเศษคล้ายก้อนดิน และเศษหินติดอยู่ที่กระจก และเมื่อเดินย้อนกลับไปประมาณ 100 เมตร พบว่ามีก้อนหินขนาดเท่ากำปั้น ตกอยู่ข้างทางตนจึงเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย
นายนพดล สันนิฐานว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะแอบอยู่ในร่องกลางถนน เมื่อเห็นว่ารถแล่นมาเป็นรถตู้สีขาว ประกอบกับหมอกลงจัด อาจจะมองไม่ถนัดนัก จึงลงมือก่อนเหตุ เพื่อให้รถเกิดอุบัติเหตุ จากนั้นก็จะเข้ามาปลดเอาทรัพย์สินของผู้ที่อยู่ในรถ แต่หลังก่อเหตุแล้วเห็นเป็นรถพยาบาล ด้วยความตกใจจึงรีบหลบหนีไป
ด้าน ร.ต.ท.อดิเรก กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดดังกล่าวเป็นทางค่อนข้างเปลี่ยว และเป็นทางตรง จาก อ.เกาะคา-อ.สบปราบ ที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุคนร้ายใช้ก้อนหินปากระจกรถช่วงกลางคืนหลายครั้ง แต่มักจะเกิดกับรถบรรทุกสิบล้อ หรือรถพ่วง แต่ครั้งนี้เกิดตอนเช้ากับรถตู้ และที่สำคัญเป็นรถของทางราชการ-เป็นรถพยาบาล ซึ่งเจ้าหน้าที่จะติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฏหมายให้ได้โดยเร็วต่อไป