พิษณุโลก/เพชรบูรณ์ - เครือข่ายชุมชน 4 ตำบลเขาค้อรวมตัวพบแม่ทัพน้อยที่ 3 ยกพระราชดำรัส ร.๙ เป็นแนวทางสางปัญหา “เขาค้อ” เรียกร้อง ทภ.3 เป็นเจ้าภาพแก้ปมการใช้ที่ดินในโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ที่คาราคาซังมานาน
คณะผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบล อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ (เขาค้อ ริมสีม่วง สะเดาะพง และหนองแม่นา) ได้พากันเดินทางเข้าพบ พล.ท.ธนา จารุวัต แม่ทัพน้อยที่ 3 ที่กองบัญชาการช่วยรบที่ 3 ค่ายเอกาทศรถ จ.พิษณุโลก เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อขอคำปรึกษา และให้รายละเอียดที่สภาองค์กรชุมชนฯ ได้ยื่นข้อเสนอและติดตามผลตามโครงการแก้ไขปัญหาที่ดินเขาค้อแนวใหม่
ซึ่งสภาองค์กรชุมชนที่ได้ยื่นเสนอต่อภาครัฐไปตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. 58 และเคยติดตามความคืบหน้าที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 60 ต่อมากรมป่าไม้ได้เชิญคณะทำงานสภาฯ ไปนำเสนอรายละเอียดแนวทางที่กรมป่าไม้ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 60 โดยนายจเรศักดิ์ นันตะวงษ์ รองอธิบดีกรมป่าไม้ และนายชิด อินทระนก ป่าไม้ จ.เพชรบูรณ์ ร่วมรับฟัง
นายสมศักดิ์ ทองจันทร์ ประธานเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบล อ.เขาค้อ หนึ่งในแกนนำ ระบุว่า เดินทางเข้าพบ พล.ท.ธนาเพราะถือเป็นผู้มีประสบการณ์ทำงานในพื้นที่เขาค้อ ได้คลุกคลีรับรู้ปัญหาที่แท้จริงเกี่ยวกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี
ซึ่งความต้องการของคนในชุมชนพื้นที่ทั้ง 4 ตำบลปรารถนาจะให้เป็นไปตามแนวพระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ได้ตรัสไว้เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 27 ว่า “ตอนนี้เขาค้อเริ่มเจริญแล้ว มีไฟฟ้าใช้แล้ว มีน้ำประปาใช้แล้ว ต้องระวัง ทหารต้องดูแล มิฉะนั้นจะมีการเอารัดเอาเปรียบ วันรุ่งขึ้นฉันต้องไปเปิดอนุสาวรีย์เขาค้อ เป็นอนุสรณ์ของการเสียสละของพลเรือน ตำรวจ ทหาร และราษฎรอาสาสมัคร มันไม่คู่ควร ถ้ามีการเอารัดเอาเปรียบกันเกิดขึ้นอีก และเราต้องมาสู้รบกันอีก และต้องมาสร้างอนุสาวรีย์กันอีก เพราะฉะนั้นทหารต้องดูแล”
แกนนำสภาองค์กรชุมชนระบุว่า เขาค้อเป็นพื้นที่ซึ่งแลกมาด้วยการต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อ และชีวิตของวีรชนผู้กล้า แต่เมื่อกาลเวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน ปัญหาในพื้นที่กลับยังไม่ถูกแก้ไขให้ถูกต้อง ดังนั้นสภาองค์กรชุมชนฯ ซึ่งเป็นกลไกอันหนึ่งของภาคประชาชนในพื้นที่ที่มีกฎหมายรองรับคือ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน ปี 2551 จึงมีความชอบธรรมที่จะเสนอแนวทางต่อรัฐในการแก้ไขปัญหา
โดยเฉพาะพื้นที่ 4 ตำบลของอำเภอเขาค้อ คือ เขาค้อ ริมสีม่วง สะเดาะพง และหนองแม่นา ที่มีปัญหาความเดือดร้อนสำคัญเรื่องเดียวกันคือ การอยู่อาศัย และทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งถือว่ายังอยู่แบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะติดขัดด้วยกระบวนการทางภาครัฐเอง และเดิมทีประชาชนก็เข้ามาอยู่อาศัย-ทำกินโดยรัฐเป็นผู้จัดสรรให้ แต่จนบัดนี้รัฐยังไม่ได้สานต่อให้เป็นไปตามกฎหมาย
ดังนั้น ภาคประชาชนจึงขอเสนอให้หน่วยงานที่นำพาประชาชนเข้ามาอยู่อาศัย-ทำกินคือ กองทัพภาคที่ 3 ช่วยมาเป็นเจ้าภาพในการจัดการ ดูแล และจัดระเบียบการอยู่อาศัย-ทำกินใหม่ให้เหมาะสม โดยได้มีข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและข้อขัดแย้งในพื้นที่เขาค้อ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ดังนี้
1. ขอให้กองทัพภาคที่ 3 ขอใช้พื้นที่ทั้งหมดที่เคยได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ต่อไปอีก เพื่อลดความเดือดร้อน และข้อขัดแย้ง หรือข้อพิพาทในพื้นที่ในระหว่างราษฎรกับราษฎร และราษฎรกับหน่วยงานภาครัฐ อันจะเกิดผลความเสียหายต่อประเทศชาติในที่สุด
2. เมื่อกองทัพภาคที่ 3 ได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ต่อแล้ว ขอให้กองทัพภาคที่ 3 สร้างความรู้ความเข้าใจในการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ที่ถูกต้อง โดยปรับปรุงระเบียบ/ข้อบังคับให้เหมาะสมตามภูมิสังคมอันเป็นที่ยอมรับร่วมกันตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ภาคประชาชนทุกหมู่เหล่าในพื้นที่จะได้เสนอกิจกรรมเพื่อการพัฒนาพื้นที่ร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 ดังนี้
3.1 การจัดสวัสดิการช่วยเหลือราษฎรอาสาสมัครและทายาท เพื่อให้คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (ปัจจุบันได้ดำเนินการซ่อมแซมบ้าน รอส. แล้วจำนวน 29 หลัง)
3.2 การน้อมนำศาสตร์พระราชามาใช้ในการพัฒนาพื้นที่ (ปัจจุบันได้เริ่มทำเกษตรขั้นบันได และโครงการเครื่องตะบันน้ำไปแล้วในหลายหมู่บ้าน)
3.3 การจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อการพัฒนาศักยภาพให้ชุมชนสามารถได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวและเกื้อกูล เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวกระแสหลักที่จังหวัดเพชรบูรณ์ได้ส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี อันจะทำให้คนในพื้นที่กินดี อยู่ดี มีความสุข ส่งผลให้เศรษฐกิจของจังหวัดเพชรบูรณ์ และประเทศชาติเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอดไป
3.4 การเพิ่มพื้นที่ป่าในพื้นที่เพื่อให้มีป่ามากขึ้น โดยส่งเสริมการปลูกป่าแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาด ประเทศได้ป่า ประชาชนได้ผลผลิต ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ปรับเปลี่ยนวิถีเกษตรจากการทำไร่ให้เป็นการทำสวน ยกระดับความคิดของคนเขาค้อให้พัฒนาไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 เพื่อการพัฒนาเขาค้ออย่างยั่งยืนสืบไป