อ่างทอง - สุดทึ่ง วัดชัยมงคล จ.อ่างทอง จัดสร้างศาลาอเนกประสงค์ด้วยศิลปะประยุกต์ ในรูปแบบศาลาจัตุรมุขทรงไทย พร้อมเมรุสูง 3 ชั้น ที่ด้านในมีทั้งลิฟต์ บันไดเลื่อน ห้องเย็น และยังมีเตาเผา 2 จุด ส่วนยอดเมรุสร้างเป็นปรางค์ครอบอย่างสวยงาม ลดความน่ากลัว เนื่องจากพื้นที่ของวัดอยู่ในชุมชน
วันนี้ (20 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังวัดชัยมงคล ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ต. ตลาดหลวง อ.เมืองอ่างทอง หลังได้รับแจ้งว่า ที่วัดแห่งนี้มีการจัดสร้างศาลาอเนกประสงค์ เป็นเมรุสูง 3 ชั้น ที่ด้านในมีลิฟต์ และบันไดเลื่อน รวมทั้งห้องเย็น และยังมีเตาเผา 2 จุด ขณะที่บิรเวณยอดเมรุได้จัดสร้างเป็นปรางค์ครอบอย่างสวยงาม
เมื่อเดินทางไปถึงพบว่า บริเวณชั้นล่างของศาลาอเนกประสงค์ กำหนดให้เป็นที่ตั้งบำเพ็ญกุศล และสวดพระอภิธรรมศพ ส่วนประตูด้านหน้าศาลาเปิด-ปิด ด้วยระบบอัตโนมัติ พร้อมยังจัดให้มีลิฟต์ และมีบันไดเลื่อนสำหรับขึ้นลงระหว่างชั้น 1 และชั้น 2 ที่มีเตาเผาศพปลอดมลพิษ จำนวน 2 เตาเผา
ส่วนบริเวณชั้นที่ 3 เป็นโซนศาลาที่ใช้เป็นห้องเย็นเพื่อเก็บศพสำหรับรอการเผา และที่บริเวณยอดเมรุยังมีการจัดสร้างพระปรางค์ครอบอย่างสวยงามเพื่อลดความน่ากลัว และหากไม่มีงานเผาศพก็จะใช้ด้านล่างของเมรุ เป็นหอประชุมสงฆ์ ต่อไป
จากการสอบถาม พระครูวิเศษชัยวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดวัดชัยมงคล ทราบว่า ศาลาแห่งนี้จัดสร้างแบบศิลปประยุกต์ ในรูปแบบศาลาจัตุรมุขทรงไทยขนาดใหญ่ สูง 3 ชั้น แบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในอย่างชัดเจน ส่วนปล่องเมรุที่มีลักษณะคล้ายพระปรางค์ สร้างขึ้นเพื่อลดความน่ากลัว เนื่องจากพื้นที่ของวัดอยู่ในชุมชน
ส่วนภายนอกศาลาตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น ซึ่งเป็นศิลปะประยุกต์ร่วมสมัย และจั่วทั้ง 4 ด้าน ปั้นรูปพระพรหมสยบพระราหู โดยนั่งทับพระราหูไม่ให้แผลงอิทธิฤทธิ์ และยังมีรูปปั้นพระพิฆเนศวร รายล้อมด้วยเหล่าทวยเทพ ปล่องเมรุเผาศพที่หุ้มด้วยปูนปั้นลักษณะคล้ายรูปทรงเจดีย์จำลองพระปรางค์ 16 เหลี่ยมย่อมุม สูง 22 เมตรกว้าง 4 เมตร สีขาว มีหน้าต่างสีทอง สามารถมองเห็นได้อย่างโดดเด่นแต่ไกล นับเป็นประติมากรรมที่เกี่ยวข้องต่อพระพุทธศาสนาแห่งเดียวในโลก
พระครูวิเศษชัยวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า แรงบันดาลใจที่ทำการสร้างเมรุสูงสามชั้นนี้ เนื่องมาจากพื้นที่ของทางวัดชัยมงคลมีน้อย โดยได้นำพื้นที่ส่วนใหญ่ของวัดไปสร้างโรงเรียนเพื่อให้การศึกษา เมื่อพื้นที่มีจำกัดจึงต้องสร้างเมรุ พร้อมศาลาเอนกประสงค์ 3 ชั้น เพื่อให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้สูงสุด โดยใช้เวลาการก่อสร้างประมาณ 4 ปี ด้วยเงินประมาณ 21 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดใช้งานได้ ประมาณปลายเดือนมิถุนายน นี้
