อุตรดิตถ์ - ชาวสวนเผาสับปะรดห้วยมุ่น พันธุ์สร้างชื่อของอุตรดิตถ์ ประชดราคาตกต่ำ เรียกร้องให้ “นายกฯ ตู่” ช่วยด้วย ถามผู้ว่าฯ อยู่ไหนให้เข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาด่วน บอกทุกวันนี้ต้องเฉลี่ยโควตาให้ขายทุกบ้านไม่พอ ยังต้องปล่อยให้ผลผลิตเน่าคาสวนกว่าครึ่ง
เหตุพ่อค้าแม่ค้าเข้ามารับซื้อน้อย เพราะผลผลิตออกมาเยอะมากกว่าปีที่แล้ว เฉลี่ยรับซื้อ-ขายทุกสวนเท่าเทียมกัน เพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันภายในหมู่บ้านและตำบล ยอมทุกข์เหมือนกัน ที่เหลือต้องปล่อยให้สุกจนเน่าคาต้นเกิน 50% เรียกร้องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องหาตลาดและพ่อค้าแม่ค้ารับซื้อผลผลิตในพื้นที่กระจายออกสู่ภูมิภาคทั้ง 4 แห่งทั่วประเทศ
วันนี้ (19 มิ.ย.) นางสมพล พอแห้ว อายุ 61 ปี พร้อมชาวสวนผู้ปลูกสับปะรด “ห้วยมุ่น” เดินไล่เก็บผลผลิตสับปะรดพันธุ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดและอำเภอ และกำลังออกผลผลิตในไร่ที่ปลูกอยู่ทั้งสิ้น 36 ไร่ สุกและเน่าเสียคาสวนไปแล้ว 22 ไร่ เพราะไม่มีพ่อค้าแม่ค้ามาซื้อ
โดยทั้งหมดได้นำลูกสับปะรดที่เน่าเสียมากองรวมกัน พร้อมเขียนข้อความด้วยหมึกสีน้ำเงินลงในแผ่นกระดาษสีน้ำตาลว่า เน่า คา ต้น, นายกฯ “ตู่” ช่วยด้วย, ผู้ว่าฯ อยู่ไหน ฯลฯ ปักเอาไว้ที่กองสับปะรด เพื่อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาสับปะรดที่ราคากำลังตกต่ำ
จากนั้นนางสมพล และเพื่อนชาวสวน ได้นำน้ำมันเบนซินมาเทราดใส่กองสับปะรด ก่อนก็จุดไฟเผาทันทีเพื่อเป็นการประชดราคาสับปะรดที่ตกต่ำอยู่ในขณะนี้ และเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาราคาสับปะรดในพื้นที่ห้วยมุ่นที่ขายไม่ได้ราคา มีพ่อค้าแม่ค้าเข้ามารับซื้อในพื้นที่น้อย แถมไม่มีตลาดรองรับ
นางสมฤทธิ์ พิมพ์อูบ ชาวสวนและผู้รับซื้อสับปะรด กล่าวว่า ปีที่แล้วสับปะรดซื้อราคาเหมารวมกิโลกรัมละ 12-15 บาท ปีนี้ผลผลิตออกมากกว่าปีที่แล้วหลายเท่าตัว ทำให้ราคาแบบคัดเกรดตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 สตางค์ ถึง 5 บาท นอกจากนี้ยังมีพ่อค้า-แม่ค้ามาซื้อน้อย ชาวสวนต้องเฉลี่ยขายให้เท่าเทียมกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถขายผลผลิตของตนเองได้ หากไม่เฉลี่ยให้ชาวสวนด้วยกันก็จะทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ปัญหาตามมาภายหลังอีก โดยเฉพาะเรื่องความสามัคคีภายในหมู่บ้าน-ตำบลจะเกิดการแตกแยกทันที
“การซื้อเฉลี่ยถือเป็นการช่วยเหลือกันภายในหมู่บ้าน ทุกข์ก็ทุกข์เหมือนกัน ผลผลิตที่ออกมามากแต่รับซื้อในจำนวนน้อย สับปะรดจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือมากกว่าที่เหลืออยู่ในสวนจำเป็นต้องปล่อยให้สุกและเน่าคาสวน ดีกว่าตัดออกมาแล้วไม่มีใครรับซื้อ หรือขายไม่ได้ทำให้สิ้นเปลืองค่าตัด ขาดทุนหนักขึ้นไปอีก”
นายถวิล อินดวง รองนายก อบต.ห้วยมุ่น กล่าวว่า สับปะรดห้วยมุ่นมีเอกลักษณ์ คุณลักษณะที่โดดเด่นกว่าสับปะรดทั่วไปตรงที่เนื้อหนาสีเหลืองคล้ายน้ำผึ้ง ตาตื้น เวลาปอกไม่ต้องเซาะร่อง รับประทานแล้วไม่กัดลิ้น ด้วยคุณสมบัติพิเศษนี้จึงได้จดทะเบียนสิทธิบัตร (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นของคนในพื้นที่ เป็นสับปะรดที่มีคุณภาพและอร่อยที่สุดในโลก
นายถวิลกล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวห้วยมุ่นทุกครัวเรือนใน 8 หมู่บ้านจะปลูกผลไม้สับปะรดกันหมด รวมมีพื้นที่ปลูกกว่า 30,000 ไร่ ให้ผลผลิตช่วงเดือนมิถุนายน-กรกำาคม รวมกว่า 150,000 ตัน เฉพาะเดือนนี้มีผลผลิตออกมากว่า 80,000 ตัน ด้วยผลผลิตที่ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ประกอบกับพ่อค้า-แม่ค้าเข้ามารับซื้อมีจำนวนน้อยจึงทำให้ราคาตกต่ำ ชาวสวนต้องปล่อยให้สุก และเน่าเสียคาต้นมากกว่า 50%
“อยากให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาราคาสับปะรดที่ตกต่ำอยู่ในขณะนี้ ด้วยการหาพ่อค้าแม่ค้าจากต่างถิ่นเข้ามารับซื้อ รวมถึงหาตลาดต่างจังหวัดแต่ละภูมิภาคทั้ง 4 ภาคทั่วประเทศ หรือตลาดกลางสินค้าขนาดใหญ่ที่กรุงเทพฯ เพื่อนำสับปะรดห้วยมุ่นออกไปกระจายขาย พยุงราคาให้ดีขึ้นบ้าง” นายถวิลกล่าว