ศูนย์ข่าวขอนแก่น - รวบได้ทั้งคู่ ลุง กับหลานวัย 17 ปีร่วมกันก่อเหตุเจาะตู้เอทีเอ็มที่อุดรธานี ก่อนขนเงินกว่า 1.9 ล้านบาทหนี อ้างต้องการเงินไปใช้หนี้สินค่างวดรถยนต์และค่างวดบ้าน แต่หลังก่อเหตุนำเงินไปซื้อบ้าน 5 แสนบาท จักรยานยนต์ 2 คัน และทรัพย์สินอื่นๆ อีกหลายรายการ
วันนี้ (15 มิ.ย.) เวลา 10.30 น. ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พร้อมด้วย พล.ต.ต.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.ต.ยรรยง เวชโอสภ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมแถลงการจับกุมตัวนายพลธวัช โคมทอง หรือโจ้ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70 หมู่ 2 ต.น้ำจั้น อ.เซกา จ.บึงกาฬ และหลานชายของนายพลธวัช อายุ 17 ปี พร้อมของกลางเป็นเงินสด จำนวน 1,123,000 บาท รถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด รุ่นเรนเจอร์ สีบรอนซ์ ทะเบียน ผฉ 4910 อุดรธานี จำนวน 1 คัน
พร้อมด้วย ชะแลง ถังแก๊ส ถังลม ชุดสายแก๊สพร้อมหัวเป่า เสื้อผ้าของผู้ต้องหาสวมใส่วันก่อเหตุ รถจักรยานยนต์ 2 คัน ตู้เย็น 1 เครื่อง เครื่องซักผ้า 1 เครื่อง โทรทัศน์ ขนาด 32 นิ้ว 1 เครื่อง เอกสารการซื้อขายบ้านพร้อมที่ดิน มูลค่า 500,000 บาท 1 ชุด โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง สร้อยคอทองคำ 2 สลึง 2 เส้น แหวนทอง 1 สลึง 2 วง
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้งคู่ร่วมกันก่อเหตุใช้แก๊สความร้อนเป่าตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านเลื่อม ต.บ้านเลื่อม อ.เมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อเวลา 03.00น. ของวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เงินสดจำนวน 1,900,000 บาท แล้วหลบหนีไป
พล.ต.ท.จตุพลเปิดเผยถึงการจับกุมครั้งนี้ว่า ชุดสืบสวนได้แกะรอยจากภาพวงจรปิด ที่บันทึกภาพรถยนต์กระบะยี่ห้อฟอร์ด แบบแค็บ รุ่นเรนเจอร์ หมายเลขทะเบียน ผฉ 4910 อุดรธานี มาจอดรถใกล้เคียงที่เกิดเหตุ จากนั้นได้ลงมือไปก่อเหตุใช้แก๊สความร้อนเป่าด้านหลังตู้เอทีเอ็ม ก่อนที่จะได้เงินสดกว่า 1.9 ล้านบาทแล้วหลบหนีไป
โดยตำรวจได้สืบสวนจากหมายเลขทะเบียนรถยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุจนสืบทราบว่านายพลธวัช โคมทอง เป็นคนใช้งานและหลังเกิดเหตุได้หลบหนีออกจากพื้นที่ จนกระทั่งติดตามจับตัวได้ที่บ้านพักหลังหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น พร้อมหลานชายที่ร่วมก่อเหตุ
ทั้งนี้ นายพลธวัชสารภาพว่าทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ได้ชักชวนหลานชาย ซึ่งไม่ได้ เรียนหนังสือ ร่วมก่อเหตุเจาะตู้เอทีเอ็มแบงก์กรุงไทยขโมยเงิน เงินที่ได้มาได้นำไปซื้อบ้านในราคา 500,000 บาท ซื้อรถจักรยานยนต์ 2 คัน มูลค่า 120,000 บาท ซื้อโทรศัพท์มือถือ และใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จนกระทั่งถูกจับกุมได้พร้อมของกลางดังกล่าว ที่ต้องก่อเหตุครั้งนี้เพราะเป็นหนี้ค่างวดรถยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุและค่างวดบ้าน แต่ไม่มีเงินจ่าย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อคำให้การของนายพลธวัชทั้งหมด เตรียมขยายผลต่อ เพราะการลงมือก่อเหตุทำแบบมืออาชีพ มีการตัดสัญญาณเตือนของตู้เอทีเอ็ม ก่อนที่จะใช้แก๊สความร้อนเป่าเข้าไปเอาเงินไปได้โดยที่สัญญาณเตือนของธนาคารที่สำนักงานใหญ่ไม่มีการแจ้งเตือนแต่อย่างใด
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปในเวลากลางคืน โดยทำอันตราย สิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม หรือรับของโจร ก่อนส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป