ตาก - กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธส่งทหารขึ้นดอยเมาะละอิ หรือแม่ละอิ ก่อนถอดรองเท้า-ปลดอาวุธ อุ้มงาช้างโบราณจากอาศรมฤาษีฝั่งพม่า ส่งมอบคืนผ่านนายอำเภออุ้มผาง ถึงชายแดนไทย-พม่า ขณะที่ชาวกะเหรี่ยงเลตองคุดีใจกันยกหมู่บ้านได้ของล้ำค่าคืน
วันนี้ (12 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีอดีตผู้ใหญ่บ้านฤาษีเลตองคุ หมู่ที่ 10 ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก แอบนำงาช้างโบราณ ซึ่งแกะสลักลายพุทธประวัติสมัยอยุธยา อายุไม่ต่ำกว่า 400-500 ปี ที่ตั้งอยู่ภายในศาลาอาศรมฤาษีผมยาว กลางหมู่บ้านชาวไทยกะเหรี่ยงฤาษีบ้านเลตองคุ ห่างจากแนวชายแดนไทย-พม่าเพียง 1.5 กิโลเมตร ตั้งแต่คืนวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา
โดยหลังเกิดเหตุ นายประทีป โพธิ์เที้ยม นายอำเภออุ้มผาง ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเร่งกระจายกำลังกันออกติดตามทวงคืนงาช้างล้ำค่าคู่นี้ พร้อมประสานความร่วมมือผ่านชุดประสานงานระหว่างชายแดนท้องถิ่น เนื่องจากเกรงว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะนำงาช้างล้ำค่าข้ามชายแดน
ล่าสุดช่วงสายของวันนี้ ทหารกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ หรือ DKBA ได้เดินทางไปที่ดอยเมาะละอิ หรือแม่ละอิ ซึ่งเป็นดอยที่สูงที่สุด ฝั่งตรงข้ามชายแดน อ.อุ้มผาง ที่ตั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพสักการะของคนทั้งสองประเทศ หลังพบว่านายไบโซ คีรีดุจจินดา อดีตผู้ใหญ่บ้านเลตองคุ ได้ลักลอบนำงาช้างล้ำค่าคู่นี้ ซึ่งมีความยาวกว่า 2 เมตร หนักกว่า 40 กิโลกรัม ไปทำพิธีทางศาสนาที่อาศรมฤาษีใกล้พระธาตุบนยอดดอยดังกล่าว
ซึ่งนายไบโซอ้างว่าไม่มีเจตนาโจรกรรม เพียงแต่นำงาช้างศักดิ์สิทธิ์ไปทำพิธีทางศาสนา เมื่อแล้วเสร็จก็จะนำคืนสู่หมู่บ้านตามเดิม
จากนั้นทหารกองกำลังดีเคบีเอถอดรองเท้า-ปลอดอาวุธ ร่วมกันอุ้มงาช้างโบราณอายุกว่า 400-500 ปีคู่ดังกล่าวที่ห่อคลุมด้วยผ้าขาวอย่างมิดชิดลงจากอาศรมศักดิ์สิทธิ์บนยอดดอย นำขึ้นรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ก่อนจะนำมาส่งมอบให้ นายประทีป โพธิ์เที้ยม นายอำเภออุ้มผาง ที่แนวชายแดนไทย-พม่า
หลังชาวบ้านฤาษีเลตองคุทราบข่าวว่า เจ้าหน้าที่ทั้งสองประเทศสามารถติดตามงาช้างโบราณล้ำค่ากลับมาได้แล้ว ต่างพากันดีใจกันทั่วหน้าที่จะได้งาช้างศักดิ์สิทธิ์กลับคืนสู่หมู่บ้าน และล่าสุดเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อำเภออุ้มผาง อยู่ระหว่างเดินทางโดยรถยนต์เพื่อนำงาช้างที่ชาวบ้านฤาษีเลตองคุหวงแหนกลับไปที่อาศรมฤาษีบ้านเลตองคุตามเดิม