อุดรธานี - ข้ามวันข้ามคืน! ตำรวจครึ่งโรงพักปิดล้อม “ไอ้แต็ก” ขี้ยา จับแม่ และเมียขังอยู่ในบ้านนาน 12 ชั่วโมง สุดท้ายต้องยิงแก๊สน้ำตาบุกเข้าไปช่วย และจับผู้ต้องหาซ่อนตัวในตู้เสื้อผ้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีลูกชายคลั่งยาเสพติดจับแม่ตัวเอง และเมียขังไว้ในบ้านพัก ในซอยราชสุดา ต.บ้านจั่น อ.เมือง อุดรธานี ตั้งแต่บ่ายวานนี้ ล่าสุด จากการปิดล้อมที่ยาวนาน 12 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 15.30 น. (19 ธ.ค.) ถึง เวลา 02.35 น. วันนี้ (20 ธ.ค.) เจ้าหน้าที่สามารถค้นหา และจับกุมตัว นายวรพจน์ หรือแต๊ก กิริยา อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาได้ขณะหลบซ่อนข้างตู้เสื้อผ้า
พ.ต.อ.ชวิศ ศรีจันทร์ รอง ผบก.ภ.จว.อุดรธานี ได้สรุปสถานการณ์ว่า แม่ที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาก่อน ยืนยันว่า ลูกชายจับภรรยาเป็นตัวประกันในบ้านพัก พร้อมทำร้ายร่างกาย และมีอาวุธปืนสั้นของพ่อเป็นอาวุธ ระหว่างนั้น แม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามพูดกล่อมผ่านเครื่องขยายเสียง แต่ก็ไม่มีการตอบรับจากผู้ต้องหา ทำให้ตำรวจตัดสินใจพังประตูด้านหน้า และยิงแก๊สน้ำตาเข้าไป 1 ลูก หลังยิงแก๊สน้ำตาไป 10 นาที ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวภายในบ้าน
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตัดสินใจจะบุกเข้าไป ปรากฏว่า ไฟแสงสว่างภายในห้องด้านหลังบ้านดับ จึงเชื่อว่า นายแต๊ก ยังคงอยู่ภายในบ้านกับตัวประกัน จึงสั่งยกเลิกการบุก และทำการตัดกระแสไฟฟ้าในบ้านทั้งหมด รอจนหน่วยปฏิบัติการพิเศษ จากตำรวจภูธรภาค 4 ขอนแก่น เดินทางมาถึงและประเมินสถานการณ์ตัดสินใจส่งกำลังเข้าในบ้าน
ต่อมา เวลาประมาณ 24.15 น. วันนี้ (20 ธ.ค.) หน่วยปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธร ภาค 4 ได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปในบ้านอีกครั้ง และส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปภายใน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที และได้ให้การช่วยเหลือ น.ส.ดาว อายุ 23 ปี ภรรยา นายแต๊ก ออกมาในสภาพไม่สามารถช่วยตนเองได้
เบื้องต้น ผู้บาดเจ็บมีแผลที่ศีรษะ และเจ็บที่ลำตัว สามารถพูดคุยตอบรับการรักษา จึงรีบส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี แต่ยังค้นหาตัว นายแต๊ก ไม่พบ ระหว่างรอกลิ่นแก๊สน้ำตาจางหาย เจ้าหน้าที่ได้วางแผนเข้าบุกจับกุม กดดัน เจรจาให้นายแต๊ก ออกมามอบตัว แต่ก็ยังไม่เป็นผล
กระทั่งเวลา 02.35 น. เจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลังเข้าค้นบ้านอีกครั้ง จนพบตัว นายแต๊ก หลบอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าในห้องนอนของแม่
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งความผิด นายวรพจน์ หรือแต๊ก กิริยา ในข้อหาข่มขืนใจผู้อื่น หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น ทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บ และนำตัวสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป
