ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผบ.ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี นำกำลังพล 200 คน วิ่งขึ้นยอดเขาแหลมปู่เจ้า ที่ประดิษฐานศาล พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย) เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันประสูติ
วันนี้ (19 ธ.ค.) พล.ร.ท.นพดล สุภากร ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ได้นำคณะทำงาน และข้าราชการในสังกัดรวม 200 คน แต่งกายชุดกีฬาออกวิ่งจากหน้ากองเรือฟริเกตที่ 2 ตั้งแต่เวลา 05.30 น.ที่ผ่านมา ขึ้นสู่ยอดเขาแหลมปู่เจ้า ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานศาล พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พร้อมร่วมขับร้องบทเพลงดาบของชาติ เดินหน้า และดอกประดู่ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันประสูติ
ทั้งนี้ ทุกวันที่ 19 ธันวาคมของทุกปี กองทัพเรือ ถือเป็นวันคล้ายวันประสูติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย) หรือองค์บิดาทหารเรือไทย และที่เหล่าทหารเรือต่างทราบกันดีในพระนาม “อาภากร” ผู้เป็นที่เทิดทูนยิ่งของเหล่าทหารเรือ และประชาชนโดยทั่วไป ดังจะเห็นได้จากการถวายพระนามท่านว่า “เสด็จเตี่ย” นับได้ว่าเป็นเจ้านายที่มีบุคคลให้ความเคารพสักการะเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่ามีจำนวนพระอนุสาวรีย์ และศาลมากที่สุดพระองค์หนึ่งของไทย โดยในปัจจุบันมีมากกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ
พระองค์ทรงมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2423 ในพระบรมมหาราชวัง
เสด็จในกรมฯ เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่สำเร็จการศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศอังกฤษ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า กิจการทหารเรือไทยเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนั้นต้องอาศัยชาวต่างชาติเป็นผู้บัญชาการเรือ และป้อมอยู่เป็นอันมาก จึงไม่สู้จะมีความมั่นคงเท่าใดนัก
ภายหลังจากที่เสด็จในกรมฯ ทรงสำเร็จการศึกษา และเข้ารับราชการทหารเรือแล้ว พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญ และโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ พระองค์ได้แก้ไขปรับปรุงระเบียบการในโรงเรียนนายเรือให้ทันสมัย เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือเป็นนายเรือที่มีความรู้ ความสามารถ เทียบได้กับนายทหารเรือต่างประเทศ
จากการที่พระองค์ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เล็งเห็นการณ์ที่ไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานที่ดินที่สัตหีบให้แก่กองทัพเรือ เพื่อจัดตั้งเป็นฐานทัพเรือ เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2465
นอกจากพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ดังที่กล่าวมาแล้ว พระองค์ยังทรงมีพระปรีชาสามารถ และมีคุณูปการยิ่งแก่กองทัพเรือ เช่น ทรงเป็นผู้บังคับการเรือนำเรือหลวงพระร่วง จากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร นับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทยเดินเรือได้ไกลข้ามทวีป ทรงจัดตั้งกองการบินทหารเรือ ทรงเปลี่ยนสีเรือรบของทหารเรือจากสีขาว เป็นสีหมอกให้เหมือนกับเรือรบต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกับลักษณะของสีน้ำทะเล และภูมิประเทศ ซึ่งกองทัพเรือได้นำสีดังกล่าวมาใช้เป็นสีเรือทุกลำของกองทัพเรือตราบจนปัจจุบัน
ในด้านการดนตรี เพลงพระนิพนธ์ ของเสด็จในกรมฯ ทุกเพลงจะมีเนื้อหาปลุกใจให้มีความรักชาติ กล้าหาญ ยอมสละชีวิตเพื่อชาติ โดยเพลงปลุกใจของพระองค์นับว่าเป็นเพลงอมตะของทหารเรือ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นอมตะอยู่ในจิตใจของทหารเรือตลอดเวลา
นอกจากพระองค์จะทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์แผนโบราณ พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณลงในสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองโดยทรงตั้งชื่อตำรายาเล่มนี้ว่า “พระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม” นอกจากนั้น ยังได้ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่คนทั่วไปโดยไม่เลือกคนจนหรือคนมี และมิได้คิดค่ารักษาหรือค่ายาแต่อย่างใด จนเป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไป และถวายพระนามพระองค์ท่านว่า “หมอพร”
พระองค์ได้กราบบังคมทูลออกจากราชการเพื่อพักผ่อนรักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2466 เนื่องจากพระองค์ทรงมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ และประชวรพระโรคภายในอยู่ด้วย โดยทรงประทับอยู่ด้านใต้ปากน้ำ เมืองชุมพร ขณะที่พระองค์ประทับอยู่นี้ก็เกิดพระโรคหวัดใหญ่ เนื่องจากถูกฝน ทรงประชวรอยู่เพียง 3 วัน ก็สิ้นพระชนม์ที่ตำบลหาดทรายรี อ.เมือง จ.ชุมพร ในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2466 สิริพระชนมายุ ได้ 44 พรรษา