จันทบุรี - 2 ตายายน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงมาปรับใช้ เก็บผักที่มีในพื้นที่สวนขายกำละ 5-10 บาท สร้างรายได้ และเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว ส่งลูกเรียนจบการศึกษาในระดับปริญญาทั้ง 5 คน
วันนี้ (16 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 33/2 หมู่ที่ 2 ตำบลช้างข้าม อำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นบ้านของ นายชโลม ใจพอดี อายุ 78 ปี และนางสุเง็ก ใจพอดี อายุ 67 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่สวน จำนวน 10 ไร่ ในพื้นที่สวนดังกล่าวมีการปลูกพืชผัก ไม่ว่าจะเป็นต้นพลู ต้นหอม กุยช่าย ถั่วลิสง ข่า ตะไคร้ กล้วย สับปะรด เพื่อเป็นพืชหมุนเวียน
เนื่องจากพืชเหล่านี้ให้ผลทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยพืชที่ให้ผลในระยะสั้น 2 ตายายจะเก็บ และจัดเป็นกำออกไปขายที่ตลาดนัดใกล้บ้าน กำละ 5-10 บาท สร้างรายได้มาใช้จ่ายในครอบครัว นอกจากนี้ 2 ตายายก็ยังเลี้ยงปลาภายในสระเก็บน้ำในสวน ส่งขายเป็นรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
แม้ว่าทุกวันนี้การทำงานสวนจะเหนื่อย แต่ 2 ตายายก็ไม่เคยหยุด แต่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ทั้งปลูกผัก เลี้ยงปลา ปลูกไม้ประดับ และพืชหมุนเวียน เพื่อใช้พื้นที่สวนที่มีประมาณ 10 ไร่ ให้คุ้มค่าที่สุดตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ตนเองได้น้อมนำมาปรับใช้จะเกิดเป็นผลของความสำเร็จ
นายชโลม ใจพอดี และนางสุเง็ก ใจพอดี เจ้าของพื้นที่สวนได้เปิดเผยว่า ตนเองได้ยึดอาชีพการทำสวนมานานหลายปี โดยจะทำการเกษตรแบบผสมผสาน ทั้งการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และผักที่เหลือจากกินในครอบครัว จะเก็บไปขายที่ตลาดนัดใกล้บ้าน ส่วนวิธีการทำ หรือแนวคิดตนเองได้มาจากการดูโทรทัศน์ และทดลอง ซึ่งที่ผ่านมา ทำให้มีเงินใช้จ่ายในครอบครัว และเหลือเก็บใช้ในบั้นปลายชีวิต โดยจะปลูกทั้งพืชที่ให้ผลในระยะสั้น และระยะยาว เพื่อที่จะได้ออกดอกออกผลทั้งปี
ส่วนพืชหมุนเวียน อย่างเช่น ถั่วลิสง เมื่อเก็บผลหมดแล้ว ต้นถั่วก็จะแห้งเหี่ยว และกลายเป็นปุ๋ยอีกที เป็นการประหยัดรายจ่ายในการซื้อปุ๋ยมาบำรุงดินเพื่อปลูกพืชชนิดอื่นต่อไป ซึ่ง 2 ตายายบอกว่า ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ก็มีกินมีใช้ หากไม่ทำงานก็จะไม่มีเงิน ทุกวันนี้จึงยังคงยึดน้อมนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาใช้ และจะใช้ไปจนกว่าจะทำไม่ไหว
