ชัยภูมิ - โอละพ่อ! เผยมติคณะผู้ปกครองสงฆ์สอบอดีตเจ้าคณะอำเภอชัยภูมิ ถูกสาวใหญ่วัย 42 ปี แจ้งจับขู่ฆ่ายันไม่ผิด ชี้สาวใหญ่รวมหัวชู้หลานชายหลวงพ่อเองสร้างเรื่องบีบขอเงินหลวงพ่อไม่หยุด ได้เงินสดไปแล้วกว่า 1 ล้าน พอไม่ได้ดั่งใจกลับกลายเป็นมารศาสนา กลั่นแกล้งกักขัง และมอมยาพระ ถ่ายคลิปสร้างเรื่องโจมตีเพื่อแบล็กเมล์รีดไถเงิน จนทำบาปซ้ำหนักไปกันใหญ่
วันนี้ (15 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหนห้ากรณี นางบังเอิญ (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี ชาว อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ ได้นำหลักฐานคลิป ภาพเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.พงษ์ศักดิ์ ไชยตันเชื้อ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองชัยภูมิ ว่า ได้ถูกพระสมีดำ หรือหลวงพ่อสมีดำ (นามสมมติ) อายุ 75 ปี อดีตเจ้าคณะอำเภอแ ละอดีตเจ้าอาวาสวัดชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.ชัยภูมิ ข่มขู่ฆ่าหากนำพฤติกรรมที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระสมีดำ ไปเล่าหรือบอกใคร โดยอ้างว่าเหตุข่มขู่เพราะเจ้าตัวตีตัวออกห่างไม่ยอมกลับไปเป็นเมียเก็บบำเรอกามในกุฏิเช่นเคย พร้อมมีคลิปภาพฉาวแพร่สะพัดในโลกออนไลน์ ขณะที่หลวงพ่อสมีดำ ได้เข้าชี้แจงต่อเจ้าคณะอำเภอหนองบัวแดง ว่า ถูกใส่ร้าย พร้อมแฉกลับว่าเป็นการสร้างเรื่องเพื่อแบล็กเมล์ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด นายณรงศักดิ์ อ้อทอง ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิ เปิดเผยว่า ได้ประสานเจ้าคณะอำเภอ รวมทั้งคณะสงค์ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกันในกรณีดังกล่าวเป็นการด่วน โดยคณะกรรมการระดับจังหวัดที่ประกอบด้วย พระครูพิทักษ์ชยานุกิจ เลขานุการ เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ พระครูสุวรรณจันทรังษี เจ้าคณะอำเภอหนองบัวแดง และนายณรงศักดิ์ อ้อทอง ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิ ได้เชิญชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้านท้องที่เกิดเหตุ และพระสมีดำ หรือหลวงพ่อสมีดำ ผู้ถูกกล่าวหามาสอบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น
ผลจากการสอบสวนข้อเท็จจริง ระบุ ว่า น.ส.บังเอิญ อายุ 42 ปี ที่เป็นผู้ร้องได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดของหลวงพ่อผู้ถูกร้องเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา และได้สนิทสนมกับหลานชายของหลวงพ่อผู้ถูกร้อง จนถึงขั้นเป็นสามีภรรยากันทั้งที่มีภรรยาอยู่แล้ว และต่อมา ได้เลิกกับภรรยา ได้มาอยู่กินฉันสามีภรรยากับ น.ส.บังเอิญ ผู้เป็นหลานชาย และหลานสะใภ้ ขอผู้งร้องทั้ง 2 คนได้มาขอยืมเงินสดกับพระผู้ถูกร้องอยู่เป็นประจำหลายครั้ง อ้างว่ายืมบ้าง ขอบ้าง ได้เงินสดไปรวมจำนวนประมา 1 ล้านบาทเศษ ได้นำเงินดังกล่าวไปซื้อที่ดินบ้านหนองแวง ประมาณ 7-8 ไร่
จนกระทั่งพระผู้ถูกร้อง บอกว่าเงินหมด ไม่มีจะให้แล้ว น.ส.บังเอิญ จึงไม่พอใจเรื่อยมา จนต่อมา น.ส.บังเอิญ จะคอยห้ามผู้คนที่ไปถวายอาหารแก่หลวงพ่อ โดยไล่ไม่ให้เข้าวัด หากมีคนเอาอาหารไปถวายจะนำไปเททิ้ง มิให้ท่านฉัน ให้ฉันแต่อาหารที่ตัวเองนำไปถวาย ซึ่งเมื่อฉันอาหารที่ น.ส.บังเอิญ นำไปถวายเมื่อไร พระสมีดำ จะมีอาการปวดท้อง ท้องเสียอยู่ประจำ
จนล่าสุด เมื่อประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา น.ส.บังเอิญ ได้นำน้ำหวานมาถวายบอกว่าจะได้หายปวดขา พอพระสมีดำ ฉันน้ำนั้นเข้าไปสักครู่มีอาการชาตามตัว เบลอ และหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีไม่มีผ้าสบงจีวรติดตัวแล้ว และเมื่อประมาณวันที่ 27-28 กันยายน 2559 ผู้ร้องได้มาขอถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากธนาคารให้ แต่พระสมีดำ ไม่ให้ จึงได้เอารูปภาพในโทรศัพท์มาข่มขู่บอกว่าวันที่ตัวเองนำน้ำหวานมาถวายหลวงปู่ หลวงปู่ได้ล่วงเกินเธอโดยมีหลักฐานคือ คลิปที่บันทึกไว้ จากการที่ น.ส.บังเอิญ ได้แจ้งความว่า พระสมีดำ ได้ข่มขู่จะเอาชีวิต น.ส.บังเอิญ นั้นไม่เป็นความจริง มีแต่ น.ส.บังเอิญ เป็นคนข่มขู่ท่านเองอีกต่างหาก
จากคำชี้แจงผลการสอบสวนโดยละเอียดทั้งพยานแวดล้อมทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ นางธนพร ปิยะภักดีศิริกุล ผู้ใหญ่บ้านตลาด หมู่ที่ 9 ต.หนองบัวแดง อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ สรุปได้ดังนี้ หลวงพ่อสมีดำ อดีตเจ้าคณะอำเภอ เป็นหลวงปู่ที่คนในหมู่บ้าน และในเขตอำเภอหนองบัวแดง เคารพ ศรัทธา มีความโอบอ้อมอารี ใจดีจนหลานชายมาทำร้าย น.ส.บังเอิญ มีพฤติกรรมข่มขู่ ขอเงินตลอด ล่าสุด เคยกักขังหน่วงเหนี่ยวพระในกุฏิจนต้องร้องให้คนช่วย มีชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดได้นำค้อนไปทุบประตูเพื่อช่วยออกมา เหตุเกิดประมาณเดือนตุลาคมช่วงวันออกพรรษาที่ผ่านมา
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ ปรากฏดังนี้ กรณีร้องเรียนไม่เป็นความจริงตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด ทั้งกรณีพระผู้ถูกร้อง มีพฤติกรรมเชิงชู้สาวกับ น.ส.บังเอิญ ผู้ร้องนั้น กลับกลายเป็นว่าผู้ถูกร้องถูกการข่มขู่เอาชีวิตจาก น.ส.บังเอิญ ผู้ร้องเสียเอง ทางคณะสงฆ์ และกรรมการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้พิจารณาแล้ว ประเด็นข้อร้องเรียนทั้งสองกรณีไม่มีมูลความจริง
หลังจากคณะกรรมาสอบสวนได้ลงความเห็นว่าไม่เป็นความจริงตามที่ถูกกล่าวห าจึงได้ทำหนังสือรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับต่อไป ซึ่งจากนี้ไป ทางหลวงพ่อสมีดำ จะมีการดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้ร้องด้วยหรือไม่นั้นอยู่ที่ผู้เคยถูกร้องเองต่อไป