xs
xsm
sm
md
lg

เกษตรกรชาวบุรีรัมย์ยึดหลักพอเพียงพ่อหลวง โค่นต้นยางพาราทิ้งทำไร่สวนผสมบนพื้นที่แห้งแล้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายสวาท จำปาสาสว่างวงศ์ อายุ 66 ปี ชาวอ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ตัดสินใจโค่นต้นยางพาราทิ้ง เปลี่ยนมาทำไร่สวนผสม
บุรีรัมย์ - เกษตรกรวัย 66 ปีชาว อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ยึดหลักพอเพียง พึ่งพาตนเองตามแนวพระราชดำริในหลวง โค่นต้นยางพาราพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวทิ้ง หันมาทำไร่สวนผสมปลูกทุเรียน กล้วย มะละกอ และพืชผักสวนครัวทดแทน เชื่อเดินตามรอยพ่อจะผ่านพ้นวิกฤตได้

นายสวาท จำปาสาสว่างวงศ์ อายุ 66 ปี เกษตรกรบ้านรุ่งอรุณ ต.โนนสุวรรณ อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พออยู่พอกิน และการพึ่งพาตนเอง ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หันมาทำไร่สวนผสม ปลูกทุเรียน กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยหอมทอง และมะละกอสายพันธุ์ฮอลแลนด์ ทดแทนยางพาราพืชเศรษฐกิจที่ตัดสินใจโค่นทิ้งทั้ง 15 ไร่ หลังประสบปัญหาราคาตกต่ำผลผลิตล้นตลาด

แม้พื้นที่ที่หันมาทำไร่สวนผสมดังกล่าวจะมีสภาพแห้งแล้ง แต่ก็เชื่อว่าด้วยพระบารมีและการดำเนินชีวิตตามหลักความพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ ๙ จะส่งผลให้ผ่านพ้นวิกฤตปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้ ประกอบกับทางกรมทรัพยากรน้ำภาค 5 ได้มาขุดเจาะบ่อบาดาลช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้งเมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา ทำให้มีน้ำใต้ดินที่จะใช้หล่อเลี้ยงต้นทุเรียนและพืชผักที่ปลูกไว้ได้อย่างเพียงพอ

โดยไร่สวนผสมของลุงสวาทได้ปลูกทุเรียน 240 ต้น ช่องว่างระหว่างต้นปลูกมะละกอ1,000 ต้น กล้วย 800 ต้น และพืชผักสวนครัวแซมอีกบางส่วน คาดจะมีรายได้ประมาณปีละ 1-2 แสนบาท ช่วงระหว่างที่ทุเรียนซึ่งเป็นพืชหลักจะให้ผลผลิตประมาณ 4-5 ปี ก็จะสามารถเก็บมะละกอ กล้วย และพืชผักสวนครัวไปบริโภค และส่งขายเลี้ยงชีพได้

นายสวาทกล่าวว่า เมื่อก่อนปลูกยางพารา ก็จะรอรายได้จากการจำหน่ายน้ำยางเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากประสบปัญหาราคายางตกต่ำเพราะผลผลิตล้นตลาด จึงคิดปรับเปลี่ยนตัวเองโดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาปรับใช้ โดยตัดโค่นต้นยางทิ้งแล้วหันมาทำไร่สวนผสมแทน เพราะนอกจากจะสามารถเก็บบริโภคในครัวเรือนได้แล้ว ผลผลิตที่ได้ยังสามารถขายเลี้ยงครอบครัวได้อีกด้วย ลดความเสี่ยงปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำได้

คาดว่าหากต้นทุเรียนที่ปลูกไว้เมื่อครบ 4-5 ปีแล้วจะให้ผลผลิตต้นละ 50-60 ลูก หากมีราคากิโลกรัมละ 80-100 บาท จะสร้างมูลค่าเฉลี่ยต้นละ 3,000-4,000 บาท แต่ในช่วงที่ทุเรียนยังไม่ออกผลก็จะมีรายได้จากการขายกล้วยและมะละกอที่ปลูกไว้ ซึ่งจะให้ผลผลิตภายในระยะเวลาเพียง 5-7 เดือนเท่านั้น แต่หากครบ 5 ปีที่ทุเรียนให้ผลผลิตแล้ว เชื่อว่าจะมีรายได้จากการขายทุกเรียน กล้วย มะละกอปีละ 4-5 แสนบาท




กำลังโหลดความคิดเห็น