ชาวนา อ.กระสัง ยิ้มทำนาแปลงใหญ่ขายข้าวอินทรีย์สูงกว่าราคาตลาด

บุรีรัมย์ - ส่งเสริมชาวนา อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ทำนาแปลงใหญ่แบบเกษตรอินทรีย์ หวังลดต้นทุนผลิต ทั้งมีตลาดรองรับซื้อสูงกว่าราคาตลาดตันละ 300-500 บาท ล่าสุดอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นพยานพิธีลงนามรับซื้อข้าวเปลือกกว่า 6,000 ตันแล้ว

วันนี้ (8 พ.ย. 59) ที่ศูนย์ข้าวชุมชนบ้านกะนัง ต.บ้านปรือ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมด้วยนายอนุสรณ์ แก้วกังวาน ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์, นายสมบูรณ์ ซารัมย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 4 จ.ขอนแก่น, นายวันรบ เฮ่ประโคน รักษาการเกษตรจังหวัดบุรีรัมย์ และหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) การซื้อขายข้าวเปลือกหอมมะลิจากโครงการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบนาแปลงใหญ่ ปี 2559/60 โดยเกษตรกรได้รวมกลุ่มกันปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์ รูปแบบนาแปลงใหญ่

ระหว่างตัวแทนบริษัท ข้าวพันดี จำกัด กับประธานกลุ่มเกษตรกรนาแปลงใหญ่ต้นแบบ และรักษาการเกษตรจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นแห่งแรกนำร่อง เป้าหมายบริษัทจะรับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิอินทรีย์
ของกลุ่มเกษตรกรนาแปลงใหญ่จำนวน 6,000 ตัน ในราคาสูงกว่าท้องตลาดตันละ 300-500 บาท ทั้งนี้ ส.ก.ต.ยังจะรับซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิอีกจำนวน 100 ตันด้วย เพื่อช่วยเหลือชาวนาที่กำลังประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำอยู่ในขณะนี้ ทั้งยังส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวในรูปแบบนาแปลงใหญ่ เพราะจะช่วยลดต้นทุนผลิต ทั้งสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรในการทำนาที่มีคุณภาพสามารถต่อรองราคากับตลาดได้อีกทางหนึ่งด้วย

สำหรับความสำเร็จของนาแปลงใหญ่ต้นแบบแห่งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมาได้รับรางวัลชนะเลิศประกวดศูนย์ข้าวชุมชนต้นแบบการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวประจำปี 2559 ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกข้าวนาแปลงใหญ่ประมาณ 5,000 ไร่ เกษตรกรที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกกว่า 400 ราย ได้รับการรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์และ GAP อีกด้วย

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า การทำนารูปแบบแปลงใหญ่จะเป็นผลดีต่อเกษตรกรเพราะสามารถลดต้นทุนผลิต ยกระดับคุณภาพผลผลิต และทำให้เกษตรกรเกิดความเข้มแข็งสามารถต่อรองราคากับตลาดได้ ขณะนี้ทั้งประเทศมีนาแปลงใหญ่อยู่กว่า 600 แปลง ปีนี้มีเป้าหมายจะขยายเพิ่มอีก 400 แปลง

ส่วนปัญหาราคาข้าวที่ตกต่ำขณะนี้เป็นไปตามกลไกตลาด แม้หลายภาคส่วนจะพยายามหาแนวทางแก้ปัญหาเพื่อช่วยเหลือชาวนาอยู่ก็ตาม แต่ตัวเกษตรกรเองก็จะต้องหันมาปรับเปลี่ยน โดยการทำนาแบบต้นทุนต่ำลง เพราะถึงแม้ราคาข้าวจะตกต่ำก็จะมีความเสี่ยงน้อยและยังสามารถอยู่ได้