xs
xsm
sm
md
lg

ที่สุดในชีวิต! เถ้าแก่ดังสุโขทัยขึ้นเขา 12 กม.รับเสด็จ ชาวเขาพะเยาถวาย “ธงชาติ” เลิกเป็นคอมมิวนิสต์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สุโขทัย/พะเยา - เผยประสบการณ์สุดประทับใจเถ้าแก่เนี้ยร้านผ้าชื่อดังสุโขทัย เดินขึ้นเขา 12 กม.รอรับเสด็จ “ในหลวง ร.๙” ขณะที่หมอหนุ่ม อดีต นศ.แพทย์จุฬาฯ บอกภูมิใจที่สุดในชีวิต แม้เข้าเฝ้าแค่เสี้ยวของนาที ด้านชาวเขาเผ่าเย้าพะเยา เปิดบันทึกวัน “พ่อหลวง” เสด็จกลางสงครามความขัดแย้งทางความคิด

นางสุนทรี วิชิตนาค อายุ 79 ปี เจ้าของร้านสุนทรีผ้าไทย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย เปิดเผยถึงความประทับใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตว่า ตนเองได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างใกล้ชิด จากการร่วมช่วยงานหน่วยพระราชทานที่นำความช่วยเหลือเข้าไปถึงยังหมู่บ้านแม่สาน ที่อยู่กลางหุบเขา อ.ศรีสัชนาลัย ซึ่งต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น

นางสุนทรี กล่าวว่า ในหลวงได้เสด็จฯ โดยเฮลิคอปเตอร์มาเยี่ยมราษฎรบ้านแม่สาน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2519 ตนเองซึ่งเป็นลูกเสือชาวบ้านด้วย ก็ได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกเดินทางแต่เช้ามืด เข้าไปที่บ้านห้วยหยวก ก่อนต้องเดินเท้าต่ออีก 12 กิโลเมตร จนถึงหมู่บ้านแม่สานตอนใกล้เที่ยง จึงเปลี่ยนใส่ชุดผ้าซิ่นตีนจกที่เตรียมไปด้วยเพื่อเตรียมรอเฝ้ารับเสด็จ นับเป็นความประทับใจที่สุดในชีวิต

นางสุนทรี กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นตนเองก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อีกหลายครั้ง และได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายของที่ระลึก ณ เรือนรับรองอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยในวันนั้นพระองค์ทรงถ่ายภาพไว้ด้วย ยังความปลื้มปีติ และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ทั้งนี้ ตนเองได้รับคัดเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย ปี 2546 และกระทรวงวัฒนธรรมได้มอบรางวัล “วัฒนคุณาธร” ปี 2559 จากนี้ไปก็จะทำหน้าที่เป็นวิทยากรเผยแพร่ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ด้าน นายแพทย์กวิน ก้านแก้ว แพทย์ประจำโรงพยาบาลสุโขทัย เปิดเผยว่า ตนเองรู้สึกโชคดีมากๆ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างใกล้ชิด แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาแค่เสี้ยวนาทีก็ตาม ยังจำได้ไม่รู้ลืมถึงงานจุฬาวิชาการ เมื่อปี พ.ศ.2530 ที่ศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดงานพร้อมทอดพระเนตรนิทรรศการ

“ในวันนั้นผมกับเพื่อนได้รับเลือกเป็นตัวแทนของนิสิตชั้นปีที่ 1 ของคณะแพทยศาสตร์ ให้ทำหน้าที่บรรยายนิทรรศการ ซึ่งพระองค์ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรนิทรรศการ จึงมีโอกาสได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด แม้จะผ่านไปนานถึง 29 ปี แต่เมื่อได้เห็นภาพนี้อีกครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน”

นายแพทย์กวิน กล่าวอีกว่า จากการที่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และได้เห็นพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่พระองค์ได้ทำมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีนั้น นับเป็นแรงบันดาลใจให้ตนเองมุ่งมั่นที่จะทำความดีทุกอย่าง เพื่อทดแทนบุญคุณของแผ่นดิน ให้ประเทศชาติได้เจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ด้าน นายแคะเว่น ศรีสมบัติ อายุ 65 ปี อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านใหม่ปางค่า ต.ผาช้างน้อย อ.ปง จ.พะเยา ประธานชาวเย้าในประเทศไทย และคณะกรรมการชาวไทยภูเขาในประเทศไทย บอกว่า พระองค์ทรงห่วงใยชาวไทยภูเขามาก เมื่อปี พ.ศ.2518 ขณะที่ความขัดแย้งทางความคิด (สงครามคอมมิวนิสต์) ในพะเยารุนแรงมาก ชาวเขาส่วนหนึ่งอยู่ในป่า ส่วนหนึ่งอยู่ฝ่ายรัฐบาล พระองค์ท่านก็ยังเสด็จลงพื้นที่

ซึ่งตอนนั้นตนเป็นครูในหมู่บ้านนี้ รู้สึกเป็นห่วงชาวเขา และเกรงว่า พระองค์ท่านจะเป็นอันตราย จึงไปพบกับผู้นำ และชาวบ้าน 10 กว่าหมู่บ้าน นำผ้าขาว แดง น้ำเงิน ไปแจกให้แก่พี่น้องชนเผ่าเย็บเป็นธงชาติไทยผืนใหญ่นำมาถวายพระองค์ท่าน และได้นำชาวเขามากว่า 200 คน กราบทูลพระองค์ พร้อมแสดงตนว่าจะไม่เป็นคอมมิวนิสต์ และจะขอจงภักดีต่อพระองค์ และจะร่วมกันดูแลพื้นที่

โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ ทางตำรวจตระเวนชายแดนได้ถ่ายภาพแล้วเก็บรักษาไว้ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวช กระทั่งผ่านไป 10 ปี สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานมาให้ ตนจึงได้เก็บรักษาไว้อย่างดี เพราะเป็นภาพที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตนเองเป็นอย่างมาก

“ทุกวันนี้ชาวเขาอยู่ได้ก็เพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ถึงแม้พระองค์จะสวรรคตไปแล้ว แต่พวกเราก็มีพลังในการต่อสู้ชีวิต ทำหน้าที่สืบสานงานของพระองค์ต่อไป โดยเฉพาะการดูแลป่าเขา ลุ่มน้ำ ต้นน้ำ และจะช่วยกันดูแล โดยมีพระองค์เป็นมิ่งขวัญตลอดไป”

ขณะที่ นางเฟย ศรีสมบัติ อายุ 57 ปี อดีตประธานสตรีชนเผ่าเย้า กล่าวว่า ตนรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่มีโอกาสเดินทางไปรับเสด็จพระองค์ท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพียงแค่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์ท่าน ตนก็รู้สึกภาคภูมิใจ และภูมิใจที่สุดที่พระองค์ทรงสั่งสอนว่า ให้มีความรัก ความสามัคคี จะทำให้ประเทศชาติของเราอยู่รอด

“สิ่งเหล่านี้อยู่ในใจตนตลอด ตนพร้อมที่จะถวายชีวิตเพื่อพระองค์ท่าน และจะอยู่เพื่อน้อมนำคำสอนของพระองค์มาสอนลูกหลาน และให้ลูกหลานของตนทำดีถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านตลอดไป”












กำลังโหลดความคิดเห็น