ประจวบคีรีขันธ์ - เพลี้ยไฟ และโรคราดำ ระบาดหนักในสวนมะม่วงของเกษตรในประจวบฯ ทำให้ช่อดอกที่กำลังติดดอกออกผลถูกทำลายร่วงหล่น เกษตรกรได้รับผลกระทบมานานกว่าครึ่งเดือน ต้องซื้อยากำจัดเพลี้ยไฟ และโรครามาฉีดพ่นหลายครั้ง ทำให้ต้องแบกรับภาระต้นทุนสูงขึ้น วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้คำแนะนำเร่งด่วน
ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นางทองสุข แซ่อึ้ง อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 259/1 หมู่ที่ 2 บ้านทุ่งเคล็ด ตำบลศาลาลัย อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ในเนื้อที่ 30 ไร่ ปลูกมะม่วงไว้ จำนวน 250 ต้น ว่า กำลังประสบปัญหา และได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนทั้งอากาศร้อนเนื่องจากภัยแล้ง และในช่วงเดือนกันยายน เริ่มมีฝนตกลงมาบ้าง ขณะนี้กำลังประสบปัญหาอย่างหนักถูกเพลี้ยไฟระบาด กัดกินดูดน้ำเลี้ยงช่อดอก จนดอกแห้ง หงิกงอ หลุดร่วง และทำให้ผลมะม่วงไม่ติดลูกเท่าที่ควร และแม้จะติดลูกแล้ว
เพลี้ยไฟทำลายผิวมะม่วงทำให้ผิวเสีย และเมื่อมีฝนตกลงมาทำให้เกิดโรคราดำระบาดทำลายช่อดอกบริเวณขั้วผล เชื้อราดำส่วนใหญ่ไม่ได้ทำลายเนื้อเยื่อของพืชโดยตรง แต่การเจริญของราดำบนใบจะไปบดบังการรับแสงของผิวใบ ส่งผลต่อการสังเคราะห์แสงของมะม่วง และเป็นอุปสรรคต่อการผสมเกสรของดอก ทำให้มะม่วงไม่ติดผล นอกจากนั้น คาบราดำที่เกาะติดทำให้ผิวผลไม่สวย คุณภาพ และราคาผลผลิตตกต่ำลงเป็นอย่างมากด้วย
นางทองสุข ได้นำผู้สื่อข่าวเดินสำรวจสวนมะม่วง และชี้จุดที่เกิดโรคเพลี้ยไฟระบาด ซึ่งพบว่ามะม่วงที่เริ่มติดดอกแล้วจะพบเพลี้ยไฟเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ก็ยังพบว่าเกิดโรคเชื้อราด้วย เนื่องจากมีฝนตกลงมาทำให้ต้องใช้ทั้งยากำจัดเพลี้ย และยากำจัดเชื้อราฉีดพ่นทั่วสวน แต่ก็สามารถยับยั้งได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งสภาพอากาศที่ร้อนแห้งแล้งสลับกับฝนตกในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้เกิดปัญหาทั้ง 2 อย่างในเวลาเดียวกัน ทำให้ต้องเพิ่มภาระต้นทุนขึ้นไปอีก โดยเฉพาะยาฉีดเพลี้ยไฟ ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง บวกกับยาฉีดพ่นโรคเชื้อรา 1 ถัง ตก 2,000 บาท ซึ่งหลังจากที่เริ่มติดดอกมาต้องฉีดพ่นยาไปแล้วกว่า 10 ครั้ง หมดเงินหลายหมื่นบาท
“อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่มาให้คำแนะนำแก่เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงในพื้นที่ตำบลศาลาลัย และที่อื่นๆ ที่ต้องประสบปัญหาเดียวกัน เพราะปัจจุบันมีความเดือดร้อนหนัก และยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาโรคเพลี้ยไฟระบาดได้”