xs
xsm
sm
md
lg

“ไทยโอซูก้า” เปิดตัว รง.แห่งใหม่รุกตลาดทั้งใน-ต่างประเทศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ไทยโอซูก้า” ผู้นำอาหารทางการแพทย์ ทุ่ม 650 ล้านบาท เปิดตัวโรงงานแห่งใหม่ที่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร รุกตลาดทั้งใน และต่างประเทศอย่างยิ่งใหญ่

บริษัท ไทยโอซูก้า จำกัด กลุ่มผู้นำบริษัทยาชั้นนำในประเทศไทย ทุ่มงบ 650 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตอาหารทางการแพทย์แห่งใหม่ และแห่งเดียวในประเทศไทย เพื่อรองรับตลาดที่ขยายตัวต่อเนื่องทั้งใน และต่างประเทศ จัดเปิดตัวโรงงานอย่างยิ่งใหญ่ มั่นใจสิ้นปีนี้สร้างรายได้เพิ่มมากกว่า 20% หรือราว 300 ล้านบาท ลั่นตั้งเป้าอีก 5 ปี แชร์ในตลาดเพิ่มแตะ 32% ล่าสุด ได้ฤกษ์ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด ร่วมด้วย นายชินซึเกะ ยุอาสะ ประธานบริษัท นายธนัญ สันตโยดม ประธานกรรมการ ตัวแทนบริหารฝ่ายกรรมการบริษัท ไทยโอซูก้า จำกัด ให้การต้อนรับ พร้อมกันนี้ ยังได้นำคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมโรงงาน ณ บริษัท ไทยโอซูก้า จำกัด (อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร)

นายชินซึเกะ ยุอาสะ ประธาน บริษัท ไทยโอซูก้า จำกัด กล่าวว่า เราเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำบริษัทยาที่มุ่งเน้นสินค้าและบริการที่มีคุณภาพจนสามารถสร้างยอดขายเป็นติด 1 ใน 10 ของบริษัทยาชั้นนำในประเทศไทย โดยการผลิตน้ำเกลือภายใต้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพของโอซูก้า ประเทศญี่ปุ่น และได้ขยายการผลิตอาหารทางการแพทย์ขึ้นเป็นแห่งเดียวในไทย ภายใต้แบรนด์ของคนไทยซึ่งมียอดขายทั้งใน และต่างประเทศราว 2,000 กว่าล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ด้านอาหารทางการแพทย์เติบโตอย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้นในอัตรา 10% ทุกๆ ปี เพราะกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เนื่องจากอาหารทางการแพทย์คืออาหารที่ได้มีการทดลอง ศึกษาถึงประสิทธิภาพที่ใช้ได้ในคนปกติ และผู้ป่วยโรคต่างๆ มีผลการศึกษาและทดลองที่ชัดเจน ซึ่งยืนยันได้ว่า มีผลดี ปลอดภัย และเหมาะสมต่อผู้ป่วยมากกว่าอาหารเสริม และก่อนที่จะขึ้นทะเบียนอาหารทางการแพทย์ได้นั้น ต้องมีหลักฐานทางการแพทย์ว่าใช้ได้ผลและปลอดภัย ผู้บริโภคจึงเกิดความมั่นใจ ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ความต้องการผลิตภัณฑ์จึงมีอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จากที่บริษัทเรามีโรงงานผลิตอาหารทางการแพทย์แห่งเดียวในประเทศไทย โดยได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับแพทย์ไทย เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และสนองตอบลูกค้าเป็นอย่างดี จึงส่งผลให้ขณะนี้กำลังการผลิตของบริษัทไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น ล่าสุด บริษัทจึงได้ทุ่มงบราว 650 ล้านบาท ในการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า แบ่งเป็นสร้างอาคาร 250 ล้านบาท และการพัฒนาเครื่องจักร และการค้นคว้าวิจัยอีก 400 ล้านบาท เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

โรงงานแห่งใหม่นี้เราใช้ เทคโนโลยีที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน โดยใช้ระบบบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น ฉะนั้นจึงมั่นใจได้ว่ามาตรฐานในการผลิตนั้นเทียบเท่ากับการผลิตยารักษาโรค และน้ำเกลือ

“อาหารทางการแพทย์สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลายกลุ่ม โดยไม่จำเป็นเฉพาะกลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ป่วยโดยเฉพาะ เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคตับ หรือแม้แต่ผู้ป่วยเด็กที่มีระบบการดูดซึมบกพร่อง และกลุ่มรองของอาหารทางการแพทย์ยังสามารถใช้ได้กับบุคคลทั่วไป ซึ่งมีการยืนยันว่าได้ผลดี มีองค์ประกอบ และสารอาหารที่ครบถ้วน เหมาะต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่เร่งรีบในแต่ละวันอาจรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ซึ่งอาหารทางการแพทย์นี้สามารถเข้าไปช่วยทดแทนสารอาหารที่ขาดหายไป และสะดวกต่อผู้บริโภคในแต่ละรายให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี” นายชินซึเกะ กล่าว

ด้าน นายธนัญ สันตโยดม ประธานกรรมการ ตัวแทนผู้บริหารฝ่ายกรรมการบริษัทไทย โอซูก้า จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่บริษัทเราได้สร้างโรงงานผลิตอาหารทางการแพทย์ในประเทศไทยนั้น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้นในการลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้มีการจ้างงานในประเทศมากขึ้น และในอนาคตเราจะส่งเสริมในการใช้วัตถุดิบในไทยมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของ Supply Chain ด้วย

ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทได้ใช้งบประมาณการตลาดราว 50 ล้านบาท ในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ “Once Pro” โดยส่งเสริมการตลาดทั้งการโฆษณา และประชาสัมพันธ์อย่างครบวงจร เพื่อให้ผู้บริโภคได้รู้จักอย่างแพร่หลาย หรือในวงกว้างมากขึ้น โดยจะเน้นการสร้างการรับรู้ให้เข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น พร้อมเพิ่มการวิจัย และพัฒนาในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีคุณภาพออกมาตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วย และผู้บริโภคทั่วไปให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 10% ในทุกปี โดยบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าหลังจากสร้างโรงงานใหม่เรียบร้อยแล้ว จะสามารถเพิ่มยอดขายได้มากกว่า 20% หรือราว 300 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ และจะทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 32% จากปัจจุบัน 22% ภายในระยะเวลา 5 ปีได้อย่างแน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น