มหาสารคาม - ยันต้องทุบทิ้งอาคารพาณิชย์ทั้ง 11 คูหาหลังเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในตลาดสดเชียงยืน เหตุโครงสร้างอาคารเสียหายหนัก เล็งเอาผิดเจ้าของร้านเก็บสต๊อกพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ข้อหาไม่ได้รับอนุญาตจำหน่าย ด้านเทศบาลตำบลเชียงยืนตั้งเต็นท์ลงทะเบียนผู้ได้รับผลกระทบหาทางช่วยเหลือแล้ว
ความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้อาคารพาณิชย์ครั้งใหญ่ภายในตลาดสดเทศบาลตำบลเชียงยืน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ต้นเพลิงเป็นร้านจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ด และเป็นที่เก็บพลุ ดอกไม้ไฟ ประทัด เพื่อไว้จำหน่ายในช่วงเทศกาลออกพรรษา โดยเพลิงเผาผลาญอาคารเสียหายกว่า 11 คูหา มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 45 ล้านบาท
ล่าสุดนางอาภรณ์ แสงยศ นายกเทศมนตรีตำบลเชียงยืน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดภายในตลาดสดเทศบาลตำบลเชียงยืนส่งผลกระทบต่อโครงสร้างตัวอาคารทรุดพังถล่มลงมา ทรัพย์สินภายในเสียหายทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีเศษพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ แรงระเบิดของดอกไม้ไฟยังสร้างความเสียหายแก่ตลาดสดแห่งที่ 1 ซึ่งอยู่ติดกัน แผงค้าของพ่อค้าแม่ค้าพังเสียหาย หลังคาเปิด ไม่สามารถเปิดขายได้
ทางเทศบาลตำบลเชียงยืนได้ตั้งเต็นท์รับลงทะเบียนผู้ได้รับผลกระทบจากเพลิงไหม้ครั้งนี้ในรอบรัศมี 500 เมตร ส่วนใหญ่เป็นความเสียหาย เช่น กระจกแตก ฝ้าเพดานพังเสียหาย โดยมีผู้มาลงทะเบียนแล้วกว่า 50 ราย พ่อค้าแม่ค้าบางส่วนต้องนำสินค้ามาขายที่ตลาดสดแห่งที่ 2 ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน บางส่วนรวมกลุ่มจับจองพื้นที่ใกล้เคียงกับตลาดแบ่งล็อกจัดสรรพื้นที่ขายสินค้าชั่วคราวจนกว่าจะซ่อมแซมตลาดเสร็จ
ทั้งนี้ ร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ดที่ถูกเพลิงไหม้คาดว่าต้องรื้อถอนออกทั้งหมดเนื่องจากตัวอาคารเสียหายอย่างหนัก โดยเทศบาลตำบลเชียงยืนอำนวยความสะดวกเรื่องการรื้อถอน คาดว่าต้องใช้เวลารื้อถอนประมาณ 1 สัปดาห์
ด้านนายกฤช โพธิ์หล้า ปลัดอำเภอเชียงยืน จ.มหาสารคาม กล่าวว่า เบื้องต้นได้มาดูแลอำนวยความสะดวกในพื้นที่ พร้อมกับรายงานผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว ล่าสุดได้ตรวจสอบว่าผู้ประกอบการขออนุญาตจำหน่ายพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ จากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองแล้วหรือไม่
จากการตรวจสอบปรากฏว่าในห้วงตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 59 ยังไม่มีผู้ใดมายื่นขออนุญาตจำหน่ายพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟแต่อย่างใด หากไม่ยื่นขออนุญาตถือว่ามีความผิดฐานจำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ