xs
xsm
sm
md
lg

เปิดชีวิต “รุ่งทิวา ธาตุนิยม” หญิงกล้าแห่งพันธมิตรฯ เกิดมาสู้เพื่อ “ในหลวง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางรุ่งทิวา ธาตุนิยม หญิงกล้านักรบมือตบ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นักสู้เพื่อ “ในหลวง” เหยื่อสลายการชุมนุมรุนแรง 7 ต.ค.2551 เกิด 28 ก.พ. 2505 เสียชีวิต 5 ก.ย.2559
ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “เฮียซำ” ผู้เคียงข้าง เผยชีวิต “รุ่งทิวา ธาตุนิยม” หญิงกล้าหลานย่าโม นักรบมือตบแห่งกองทัพพันธมิตรฯ บนเส้นทางความรักและความเข้าใจมากว่า 30 ปี รวมทั้ง 8 ปีกับช่วงเวลาอันแสนยากลำบาก ก่อนจากไปอย่างไม่มีวันกลับของหญิงแกร่งเธอผู้เกิดมาสู้เพื่อ “ในหลวง”

วันนี้ (8 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับ “นายนาวี ธาตุนิยม” หรือ “เฮียซำ” วัย 62 ปี สามี “นางรุ่งทิวา ธาตุนิยม” หรือ “ฮวง” นักรบมือตบหัวใจแกร่งแห่งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จาก ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมืองแห่งหญิงกล้าหลานย่าโม ที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 จนทำให้กลายสภาพเป็นผู้ทุพพลภาพจากการถูกตำรวจยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าที่ศีรษะได้รับบาดเจ็บสาหัสสมองหายไปข้างหนึ่งพร้อมดวงตาข้างซ้าย และหลังอดทนสู้กับพิษบาดแผลมานาน 8 ปี เธอได้จากไปอย่างสงบเมื่อเช้ามืด เวลา 02.50 น.วันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมาที่บ้านพัก อ.ปากช่อง สิริรวมอายุได้ 46 ปี

ขณะนี้ตั้งบำเพ็ญกุศลศพอยู่ที่มูลนิธิสว่างวิชชาธรรมสถาน ปากช่อง เลขที่ 17 ถนนเทศบาล 12 ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และมีกำหนดประกอบพิธีฌาปนกิจ วันที่ 9 กันยายน 2559 เวลา 16.00 น. ณ วัดหนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
นายพิภพ ธงไชย อดีต 1 ใน 5 แกนนำ พธม. รดน้ำศพ
นายนาวี หรือ “เฮียซำ” เล่าถึงชีวิตอยู่ร่วมกับ“คุณรุ่งทิวา” ภรรยาที่เขารักและสุดอาลัยว่า ได้แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยากับ “คุณรุ่งทิวา” ตั้งแต่ปี 2528 โดยประกอบอาชีพเปิดร้านขายยาเล็กๆ ใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ชื่อ “ร้านธาตุนิยม” เราใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันด้วยความใส่ใจดูแลกันและกัน เคารพการตัดสินใจและเข้าใจในความเป็นตัวตนของกันและกันมาโดยตลอด และมีลูกด้วยกัน 2 คน คือ นายศิริภพ หรือ “ณัฐ” ศรีหพิรุน อายุ 29 ปี ปัจจุบันประกอบอาชีพช่างทำผม กับ น.ส.เนธิยาภา ธาตุนิยม อายุ 23 ปี เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว

“เฮียซำ” เล่าต่อว่า กระทั่งมีการชุมนุมต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และอีก 4 แกนนำหลัก ซึ่ง “คุณรุ่งทิวา” สนใจติดตามความเคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่องและเห็นด้วยกับแนวทางการต่อสู้ของคุณสนธิและกลุ่มพันธมิตรฯ พร้อมบอกกับตนเสมอและบอกทุกครั้งที่เดินทางไปร่วมชุมนุมว่า “จะออกไปต่อสู้ เพื่อในหลวง” ซึ่งตนไม่เคยคัดค้านหากสิ่งใดที่ทำเพื่อ “ในหลวง” พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มใจ

ทุกครั้งที่มีการชุมนุม “คุณรุ่งทิวา” ไม่เคยพลาด และสวมใส่เสื้อสีเหลืองไปร่วมชุมชนตลอด โดยในช่วงแรกๆ จะเดินทางเข้าไปเพียงลำพัง หรือบางครั้งมีตนไปร่วมบ้าง เนื่องจากต้องมีคนเฝ้าดูแล “ร้านขายยา” กิจการของครอบครัวจึงไม่ได้เดินทางตามไปชุมนุมด้วยทุกครั้ง กระทั่งช่วงหลังๆ เริ่มมีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วย ถึงแม้แดดร้อนแผดเผาหรือฝนตกหนักแค่ไหน “คุณรุ่งทิวา” ไม่เคยย่อท้อ หลายครั้งได้บาดเจ็บจากการหกล้ม มือพองเท้าพองจากเดินเท้าเคลื่อนขบวนชุมนุม หรือก้นพอง เพราะต้องอดทนนั่งบนพื้นถนนอันร้อนระอุ แต่ “คุณรุ่งทิวา” ไม่เคยบ่นและยังคงยืนหยัดเข้าไปร่วมชุมนุมต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรฯ ทุกครั้ง

ต่อมาวันที่ 7 ต.ค. 2551 “คุณรุ่งทิวา” บอกว่าสถานการณ์การชุมนุมเริ่มเข้มงวดเข้าทุกทีจะต้องเข้าไปช่วยกลุ่มพันธมิตรฯ ต่อสู้ แต่ตนขอให้เฝ้าร้านขายยาให้ก่อนในช่วงเช้าเพราะมีภารกิจต้องไปส่งลูกสาวเรียนในตัวเมืองโคราช เมื่อกลับมาแล้วค่อยเดินทางเข้าไปชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งในวันนั้นตนจำได้ติดตาว่า “คุณรุ่งทิวา” หยิบเสื้อสีส้มซึ่งไม่เคยใส่มาก่อนขึ้นมาสวมใส่เป็นครั้งแรกและเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อร่วมชุมนุมในช่วงบ่ายของวันที่ 7 ต.ค.
ครอบครัว “ธาตุนิยม”  ถ่ายรูปร่วมกับแขก
ทั้งนี้ ทุกครั้งที่ผ่านมาเขาจะเดินทางไปร่วมชุมนุมไม่เกิน 1-2 วันก็จะกลับบ้าน และในช่วงระหว่างการเข้าร่วมชุมนุมเขาไม่เคยโทรศัพท์ติดต่อมาและกลับมาบ้านด้วยความปลอดภัยทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้ช่วงค่ำวันที่ 7 ต.ค. เวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม ยังไม่เห็น “คุณรุ่งทิวา” กลับมาถึงบ้าน แต่มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลโทรศัพท์มาแจ้งว่า “คุณรุ่งทิวา” โดนระเบิด มีโอกาสรอดแค่ 5% พร้อมบอกให้ตนและลูกๆ ไปดูอาการที่โรงพยาบาลจุฬาฯ กรุงเทพฯ

ทันทีที่ได้ข่าวภรรยาโดนระเบิด ตนรู้สึกตัวชาไปหมด ทำอะไรไม่ถูก จึงให้พี่ชายพาตนกับลูกไปดูอาการของ “คุณรุ่งทิวา” ที่โรงพยาบาล พบว่าสมองและลูกตาด้านซ้ายหายไปครึ่งหนึ่งจากแรงระเบิด จากการสอบถามทราบว่าขณะเกิดเหตุ “คุณรุ่งทิวา” ชุมนุมอยู่ในจุดหน้ากระทรวงศึกษาธิการ เขตรอบนอก กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และถูกตำรวจยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าที่บริเวณศีรษะทำให้ได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสดังกล่าว

ตอนนั้นจำได้เพียงว่าได้บอกหมอให้ช่วยรักษาภรรยาให้ดีที่สุดไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ก็มีความหวังน้อยนิดเพราะจากสภาพที่ดูแล้วไม่น่าจะรอดชีวิตมาได้

นายนาวีเล่าต่อว่า “คุณรุ่งทิวา” ได้นอนพักรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสจากการสลายชุมนุมครั้งนั้นอยู่ที่ โรงพยาบาลจุฬาฯ นานกว่า 1 ปี ชีวิตทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด เขานอนนิ่งไม่รับรู้อะไร ตามองเห็นแค่ข้างเดียวคือ ข้างขวา เท้าไม่สามารถขยับได้ และผลจากการรักษายังทำให้ปอดหายไปข้างหนึ่ง ส่วนอาหารต้องรับประทานผ่านทางสายยางเจาะเข้าหน้าท้องเท่านั้น พูดไม่ได้ หูได้ยินแผ่วเบา
นางรุ่งทิวา ธาตุนิยม เธอผู้เสียสละ
ต่อมาตนได้ย้ายภรรยามาดูแลรักษาต่อที่บ้าน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตั้งใจอย่างเดียวว่าจะดูแลภรรยาและลูกให้ดีที่สุด เมื่อเขารอดชีวิตกลับมาได้แม้สภาพไม่เหมือนเดิมและไม่เคยคิดทอดทิ้ง แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้รักเขามากขึ้น และต้องดูแลให้เป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปี เหลืออีกไม่กี่วันจะครบ 8 ปีเต็มในวันที่ 7 ตุลาคม 2559 นี้ ได้เอาใจใส่ดูแล “คุณรุ่งทิวา” ไม่เคยทอดทิ้งแม้แต่วันเดียว และเข้าไปพูดคุยด้วยตลอด ซึ่ง “คุณรุ่งทิวา” เองจะจำเสียงตนได้ เมื่อเรียกเสียงดังๆ จะทำตาส่งสัญญาณรับรู้เสมอ

“ในทุก 4-5 เดือนจะต้องพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาตาและหูที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นประจำ ส่วนสมองไม่ต้องพูดถึงเพราะรักษาไม่ได้แล้ว และทุกเดือนจะต้องไปรับยากดประสาทที่โรงพยาบาลปากช่อง อ.ปากช่อง ซึ่งต้องกินวันละ 6-8 เม็ดทุกวัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาอาการทรงตัวมาโดยตลอด” เฮียซำ กล่าว

กระทั่งช่วงหลังๆ สังเกตดูอาการของ “คุณรุ่งทิวา” เริ่มทรุดลง และร่างกายซูบผอมแม้ให้อาหารทางสายยางในปริมาณเท่าเดิมแต่กลับทรุดลง ก่อนจากไปอย่างสงบเมื่อเวลา 02.50 น.ของเช้ามืดวันที่ 5 ก.ย. 2559 นำความเสียใจมายังครอบครัว “ธาตุนิยม” และญาติพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง แม้ทุกคนจะทำใจต่อสู้ร่วมกันมานานถึง 8 ปีแล้วก็ตาม

สำหรับความช่วยเหลือนั้น นายนาวีกล่าวว่า ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลเดือนละ 10,000 บาทมาตลอด 8 ปี และราชองครักษ์ได้มาสอบถามอาการอยู่ตลอดเวลา ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นแก่ครอบครัว “ธาตุนิยม” เป็นอย่างยิ่ง และเป็นกำลังใจอันสำคัญให้ได้ยึดเหนี่ยวต่อสู้ไม่ย่อท้อมาโดยตลอด

นอกจากนี้ยังได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งจากกลุ่มพันธมิตรฯ และยังมีเครือข่ายต่างๆ เดินทางมาเยี่ยมให้การช่วยเหลือ รวมทั้งได้รับเงินจากการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมของ รัฐบาล อีก 7 ล้านบาท โดย “คุณรุ่งทิวา” มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพยาบาล เฉลี่ยประมาณ เดือนละ 40,000 บาท ทั้งการจ้างพยาบาลดูแล ค่าอาหารเหลว และของใช้จำเป็นต่างๆ แต่ตนและครอบครัว “ธาตุนิยม” ไม่เคยท้อ ดูแลรุ่งทิวามาเป็นอย่างดี ไม่เคยให้มีแม้แต่แผลกดทับ และไม่เคยเจ็บป่วยนอกจากอาการข้างเคียงที่เป็นอยู่ จนถึงวาระสุดท้ายในการจากไปอย่างสงบ

“ตลอดระยะเวลาชีวิตคู่ร่วมทุกข์ สุขกันมากว่า 30 ปี และแสนยากลำบากในช่วงกลายเป็นผู้ทุพพลภาพอยู่นานนับ 8 ปี นั้น เราไม่เคยท้อแท้และภูมิใจที่ได้ดูแลภรรยาหญิงกล้านักสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คนนี้จนวินาทีสุดท้าย” นายนาวีกล่าวในตอนท้าย
นายนาวี ธาตุนิยม”  หรือ “เฮียซำ” อายุ 62 ปี สามี ผู้เคียงข้าง
กำลังโหลดความคิดเห็น