เพชรบูรณ์ - ที่ปรึกษาด้านกฎหมายชาวม้งภูทับเบิก รับหมดทางสู้ ชาวม้งต้องก้มหน้ารับชะตากรรม หลั่งน้ำตารื้อรีสอร์ตตัวเอง ระบุหลายรายหมดเนื้อหมดตัวกันเลยทีเดียว ครวญแค่ผู้ว่าฯ คนเดียวก็จะตายกันอยู่แล้ว พอชุมนุมหยิบมือนายกฯ สั่ง รมต.มาดูอีกแล้วจะเหลืออะไร!?
วันนี้ (23 ส.ค.) นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่ดินภูทับเบิก ว่าหลังการประชุมชี้แจงกับตัวแทนกลุ่มชาวม้งแล้ว ช่วงนี้จะให้รีสอร์ตทั้ง 19 รายรื้อเอง ตั้งแต่วันที่ 23-29 สิงหาคม เพราะเขาก็มีความตั้งใจรื้อเองอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่เสร็จ เจ้าหน้าที่ก็มีความจำเป็นต้องเข้าไปรื้อต่อเมื่อครบกำหนด 7 วัน ซึ่งถ้าได้รับความร่วมมือก็คงทำงานได้เร็วขึ้น
“ส่วนจะมีการต่อต้านอีกหรือไม่นั้น ในการขึ้นไปปฏิบัติงานทางเจ้าหน้าที่จะขอความร่วมมือ เพราะไม่อยากให้เกิดความรุนแรง”
จนถึงขณะนี้รีสอร์ต 19 ราย ได้รื้อเองเสร็จสมบูรณ์แล้ว 3 ราย อีก 9 ราย อยู่ระหว่างการเก็บของและรื้อถอน ส่วนอีก 5 ราย อยู่ระหว่างเก็บของ แต่ยังไม่ได้รื้อ และมีบางส่วนในที่ทางเจ้าหน้าที่รื้อแล้ว แต่ยังไม่เสร็จสิ้น เราก็มีความจำเป็นต้องไปดำเนินการกันต่อ
นายบัณฑิตกล่าวอีกว่า ประเด็นการใช้เครื่องจักรรื้อถอนรีสอร์ตภูทับเบิก ยังมีความจำเป็น ซึ่งทางฝ่ายรื้อถอนกับฝ่ายโยธาธิการจังหวัดฯ จะประเมินว่าจะใช้เครื่องจักรชนิดใดเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ หากไม่ใช้เครื่องจักร จะใช้เวลากี่วันความยุ่งยากความล่าช้าย่อมต้องเกิดขึ้นแน่นอน
“ในช่วง 2 วันที่เจ้าหน้าที่ทำงานภายใต้ขอบเขตของกฎหมายและด้วยตามสุภาพ มีการช่วยงัดช่วยรื้อขนของวางเรียงแยก บางส่วนเท่านั้นที่ใช้เครื่องจักร เพราะโครงสร้างเป็นเหล็กตัวซี และเศษวัสดุก็จัดเก็บให้ดูเรียบร้อยไม่อยากให้มีภาพเศษกองวัสดุใหญ่จากการรื้อถอนถูกกองไว้” นายบัณฑิตย์กล่าว
ด้านนายชาญวิทย์ เฟื่องฟูกิจการ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายสมาคมพ่อค้าม้งไทย และที่ปรึกษากลุ่มผู้ประกอบการชาวม้งภูทับเบิก กล่าวว่า หลังการประชุมแล้วชาวบ้านเกิดความสิ้นหวัง เวลานี้กำลังรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างด้วยน้ำตา ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง คงจะต้องปล่อยให้เลยตามเลย และเป็นหน้าที่ของรัฐคงจะทำอะไรไม่ได้
“ชาวบ้านคงทำใจไม่ได้หากจะสู้ต่อไป ยิ่งสู้ก็ยิ่งรุนแรง วันก่อนชาวบ้านมาชุมนุมแค่นั้นก็ยังทำให้นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งถึงรัฐมนตรีให้จัดการดูแลแล้ว ชาวบ้านมองว่าแค่ผู้ว่าฯ คนเดียวก็จะตายแล้ว หากระดับรัฐมนตรีลงมาอีกก็คงไม่เหลืออะไร วันนี้ทุกคนจึงเศร้าสร้อย ต่างอยู่กันด้วยความเหงาหงอย ทำอะไรไม่ได้ มีแต่ต้องทำใจยอมรับชะตากรรม” นายชาญวิทย์กล่าว
นายชาญวิทย์กล่าวว่า สำหรับเรื่อมาตการเยียวยาแก่ผู้ได้รับความเดือดร้อน หากรัฐบาลมีความจริงใจ และทำเรื่องนี้จริงจัง มีการสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นตลอด รวมทั้งต้องดูถึงการดำรงชีพต่อไปของเขาด้วย ซึ่งจริงๆ ก็อยากให้ส่งเสริมการดำรงชีพ เพราะบางคนต้องหมดเนื้อหมดตัว ต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อก่อสร้าง ใช้ระยะเวลาเป็น 10 ปี
“เรื่องพวกนี้พวกเขาเป็นห่วงและกังวลอยู่ ก็อยากให้สำรวจเป็นรายๆ ไป ถ้าจะมีการเยียวยาก็ขอให้ทำอย่างจริงจัง อย่าทำแบบลูบหน้าปะจมูก ไม่ใช่พูดจาสวยหรูแต่ทำไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายสมาคมพ่อค้าม้งไทยกล่าวว่า ที่จริงแล้วถึงเวลานี้ก็ไม่เห็นด้วยที่จะมีการทุบรื้อทิ้งสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ จริงๆ แล้วควรออกมาในแนวสร้างสรรค์ เพราะการบริหารของรัฐซึ่งมีผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญที่จะบริหารจัดการให้ดีได้ เรื่องกฎหมายก็อยู่ที่มาตรา 44 ของนายกรัฐมนตรีจะชี้นกเป็นนกก็ได้ หรือชี้ไม้เป็นไม้ก็ได้ อยู่ที่ท่านจะลดราวาศอกแล้วกลับมามองในทางที่สร้างสรรค์ได้หรือไม่
“จริงๆ แล้วชาวม้งพร้อมปฏิบัติตามทุกเงื่อนไข แม้กระทั่งวันนี้บอกให้ทุบให้รื้อ ก็ต้องก้มหน้าก้มตาร้องไห้ร้องห่มรื้อของตัวเองไป จึงฝากให้ท่านช่วยดูมาตรการดังกล่าวด้วย”
วันเดียวกันนี้ น.ส.เอมอร ตันติมาลา ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้หอบหลักฐานเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.นิวัฒน์ คัณธานันท์ รอง ผกก.(สอบสวน) และ ร.ต.ท.พชรเดช รุ่งสว่าง ร้อยเวร สภ.เมืองเพชรบูรณ์ เพื่อให้ดำเนินคดีต่อเจ้าของเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อ Thian's Sathian ในข้อหาหมิ่นประมาท และกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 หลังจากผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวนำคลิปวิดีโอการรายงานสดข่าวกลุ่มชาวม้งภูทับเบิกชุมนุมปิดถนนประท้วง พร้อมโพสต์ข้อความตำหนิด่าทอ นอกจากนี้ยังมีสมาชิกในกลุ่มโพสต์ข้อความบิดเบือนสร้างกระแสเรื่องเหยียดชนชาติ พร้อมข่มขู่เรื่องการปองร้าย โดยมีการโพสต์ชื่อที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ไว้บนเฟซบุ๊กดังกล่าว
น.ส.เอมอรกล่าวว่า เป็นการรายงานสดซึ่งไม่น่าจะถูกหยิบมาเป็นประเด็นโจมตี โดยเฉพาะเรื่องการเหยียดชนชาติ เชื่อว่าคนโพสต์มีเป้าประสงค์แอบแฝงมากกว่า และการที่ตนตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์ก็เพื่อต้องการให้กลุ่มคนนี้หยุดการกระทำแบบนี้ และยังต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยในชีวิต-ทรัพย์สินอีกด้วย
“ยอมรับว่าเวลานี้เกิดอาการเครียดและหวาดผวาจนกระทั่งนอนแทบไม่หลับ”