สุโขทัย - ผู้ว่าฯ สุโขทัย เปิดหมด โมเดลจัดการน้ำแบบ “เอาอยู่” จน “บิ๊กตู่” ชมเปาะ บอกทั้งพร่อง ทั้งเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้ง จนพ้นวิกฤตน้ำท่วมระลอกแรก พร้อมจับตาน้ำระลอกใหม่จากอิทธิพล “เตี้ยนหมู่” คาดอีก 3 วันมาถึง แต่เชื่อมั่นไร้ปัญหา ชี้น้ำใหม่มาแค่ 420 ลบ.ม./วินาที น้อยกว่าระลอกแรกครึ่งต่อครึ่ง
วันนี้ (22 ส.ค.) นายปิติ แก้วสลับสี ผวจ.สุโขทัย เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์น้ำจะผ่านพ้นวิกฤตในรอบแรกไปแล้วอย่างปลอดภัย แต่ทางจังหวัดฯ และกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองบัญชาการช่วยรบที่ 3 พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้องก็ยังคงเตรียมพร้อมรับมือมวลน้ำระลอกที่ 2 จากอิทธิพลของพายุเตี้ยนหมู่ ซึ่งคาดว่าอีก 3 วันจะมาถึงสุโขทัย
โดยพร่องน้ำจากประตูระบายน้ำบ้านหาดสะพานจันทร์ อ.สวรรคโลก เพื่อเปิดพื้นที่รอรับน้ำใหม่ แล้วเอาของเก่ามากองไว้ที่ด้านใต้ของตัว อ.เมืองสุโขทัย ซึ่งมีประตูบ้านยางซ้าย ปิดกั้นอยู่ ขณะเดียวกันก็ผันน้ำเข้าไปกักเก็บไว้ที่แก้มลิงทุ่งทะเลหลวงด้วย เมื่อมวลน้ำใหม่มาถึง ก็จะเปิดประตูบ้านยางซ้าย ให้น้ำไหลระบายไปสู่ อ.กงไกรลาศ และ อ.บางระกำ ได้เร็วขึ้น
“อย่างไรก็ตาม มวลน้ำเตี้ยนหมู่ที่กำลังไหลมายังสุโขทัยพบมีแค่ 420 ลบ.ม/วินาที น้อยกว่าลูกแรกครึ่งหนึ่ง”
นายปิติเปิดเผยถึงแผนป้องกันน้ำท่วมของสุโขทัยที่ผ่านมาว่า สำคัญที่สุดคือเรื่องของฐานข้อมูล ข้อเท็จจริง และสภาพที่เป็นปัจจุบัน ฐานข้อมูลคือปริมาณฝนที่ตกตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ อ.ปง จ.พะเยา สุโขทัย มีแม่น้ำยมไหลผ่าน กว่าจะมาถึงใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วปริมาณฝนมีเบี่ยงเบนไปที่ไหนบ้าง เป็นต้น
“ผมใช้ข้อมูลเป็นตัวตั้งในการกำหนดแนวทางบริหารจัดการน้ำ และมีการเตรียมความพร้อมโดยตั้งคณะทำงานต่างๆ ร่วมกันดูแลรับผิดชอบ เฝ้าระวัง ติดตามข้อมูล พร้อมดำเนินแผนตามนโยบายของรัฐบาล ที่ไม่ต้องการให้มีพื้นที่ภัยแล้ง-น้ำท่วมซ้ำซาก แต่สุโขทัยเผชิญปัญหานี้มาตลอด 20 กว่าปี ทุกปีต้องแจกถุงยังชีพ มีประกาศพื้นที่ประสบอุทกภัย ต้องหาเงินชดเชยให้นาข้าวกับพื้นที่การเกษตร รวมทั้งต้องซ่อมแซมสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆ ใช้งบมากมาย”
นายปิติกล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมาสุโขทัยเจอปัญหาภัยแล้งแบบเต็มๆ ทำให้เป็นกรอบแนวคิดว่าจะทำอย่างไร ในการบริหารจัดการน้ำครั้งนี้ ไม่ให้น้ำท่วมเสียหายมาก และสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งปีหน้าได้ด้วย
“การพร่องน้ำก็ต้องปล่อยในระดับที่เหมาะสม เพื่อป้องกันตลิ่งพัง และเราก็กักเก็บน้ำไปพร้อมกับการปล่อยทิ้งบางส่วน จนทำให้แก้มลิงทุ่งทะเลหลวง มีน้ำกักเก็บแล้ว 14 ล้าน ลบ.ม. จากความจุ 32 ล้าน ลบ.ม. บึงใหญ่จุน้ำได้ 12 ล้าน ลบ.ม.มีน้ำแล้ว 6 ล้าน ลบ.ม. และที่ทุ่งแม่ระวิง ความจุ 10 ล้าน ลบ.ม.มีน้ำแล้ว 4 ล้าน ลบ.ม.”
โดยสรุปแผนจัดการน้ำสุโขทัย คือ 1.) ต้องมีฐานข้อมูล ข้อเท็จจริง 2.) การเตรียมพร้อมโดยมีคณะทำงานร่วมกัน 3.) บริหารจัดการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล แก้ท่วม-แก้แล้ง-ไม่ทิ้งน้ำอย่างเปล่าประโยชน์ และ 4.) ความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ร่วมกันรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง
นายปิติกล่าวอีกว่า ในส่วนของพื้นที่มีปัญหาขาดแคลนน้ำอย่าง อ.ทุ่งเสลี่ยม และบางตำบลของ อ.คีรีมาศ และที่ ต.นาขุนไกร อ.ศรีสำโรง ซึ่งเป็นพื้นที่สูง ห่างจากแม่น้ำยมนั้นจะใช้แผนบริหารจัดการในเรื่องของการสร้างอ่างเก็บน้ำ และสร้างธนาคารน้ำ (เช็คแดม) ในป่าของเขาเอง เพื่อรักษาน้ำไว้ในป่าทำให้เกิดความชื้น ทำฝนเทียมได้ง่ายขึ้น ตอนนี้มีการปูพรมแล้วทั้งจังหวัดนับร้อยๆ ฝาย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ “ในหลวง และพระราชินี” อีกด้วย
นายปิติยังได้กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชมเชยการแก้ปัญหาน้ำท่วมของสุโขทัยที่ผ่านมา ว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาวสุโขทัย ส่วนราชการ หน่วยงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองบัญชาการช่วยรบที่ 3 โดย พล.ต.ทรงวุฒิ จิตตานนท์ ผบ.กองกำลังฯ ซึ่งต่างก็มีส่วนร่วมและทำงานกันอย่างเต็มที่ตามกรอบนโยบายของรัฐบาล และพร้อมจะรับทั้งผิด และชอบ หากพลาดพลั้งก็อยู่ในความรับผิดชอบของเรา แต่ถ้าประสบความสำเร็จก็เป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของทุกๆ คน ไม่ใช่เฉพาะเพียงคนเดียว เพราะเป็นภาพรวมของการทำงานร่วมกันทั้งจังหวัด