ร้อยเอ็ด - รู้ตัวแล้วมือดีฉีกบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิลงประชามติที่หน่วยเลือกตั้ง 7 อำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด เชิญตัวแม่และเด็กวัย 9 ขวบรับสารภาพเป็นผู้ฉีกเอกสาร อ.ส.6 จริง อ้างทำด้วยความคึกคะนอง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง
จากกรณีที่นายจุมพล ศรีสมสุข อายุ 54 ปี ผู้ใหญ่บ้านแหลมทรายทอง หมู่ที่ 9 ต.โพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด แจ้งตำรวจ สภ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด เมื่อค่ำวานนี้ว่าตรวจพบมีการฉีกบัญชีรายชื่อแบบ อ.ส.6 ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงลงประชามติที่หน่วยเลือกตั้งที่ 7 ศาลาอเนกประสงค์ภายในสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา หมู่ที่ 9 บ้านแหลมทรายทอง ถูกฉีกทิ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
เจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัยว่าน่าจะเป็นการกระทำของเด็ก เพราะมีคนพบว่าเห็นลูกหลานของพ่อค้าแม่ค้าซึ่งมาขายของที่ตลาดนัดแห่งนี้ อายุประมาณ 6-10 ขวบ ได้พากันขึ้นไปเล่นอยู่ในศาลาอเนกประสงค์หลายคน น่าเชื่อว่าอาจจะทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และอาจจะฉีกเอาบัญชีรายชื่อมาขยำแล้วขว้างปากันเล่นตามการคาดการณ์
ล่าสุดวันนี้ (25 ก.ค. 59) พ.ต.ท.บุญมี ไทยอ่อน สารวัตร (สอบสวน) สภ.โพนทราย และ พ.ต.ท.หญิง สุกัลยา คณาศรี นักวิทยาศาสตร์ (สบ 2) พิสูจน์หลักฐานจังหวัดร้อยเอ็ด และคณะ ได้ลงไปเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งหารอยลายมือแฝงจากวัตถุพยานในที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พร้อมกันนั้นพนักงานสอบสวนได้นำตัววัยรุ่น 3 คนในหมู่บ้านมาสอบปากคำเค้นหาตัวผู้ก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งวัยรุ่นทุกคนต่างปฏิเสธว่าไม่ได้ก่อเหตุดังกล่าว และไม่เห็นว่าใครเป็นคนฉีก จึงปล่อยตัวไป
ขณะเดียวกันได้ติดตามตัว นางน้อย (นามสมมติ) ซึ่งเป็นแม่ค้าขายของในตลาดแห่งหนึ่ง พร้อมกับให้นำเด็กชายนุ้ย (นามสมมติ) ลูกชายวัย 9 ขวบมาแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อสอบถามรายละเอียดหาผู้ก่อเหตุ เพราะมีคนเห็นป้วนเปี้ยนในบริเวณดังกล่าวในวันที่เกิดเหตุ ซึ่งนางน้อยนำลูกชายมาพบพนักงานสอบสวน และรับว่ามาที่บริเวณดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าว
แต่จากการสอบสวนลูกชายพูดจากวกวนมีพิรุธ จึงเชิญสองแม่ลูกไปสอบสวนเพิ่มเติมที่ สภ.โพนทราย และเกลี้ยกล่อมอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมง เด็กจึงยอมรับว่าได้เป็นคนฉีกเอกสารดังกล่าวจริง โดยมากับน้องชายวัย 4 ขวบ และฉีกด้วยตนเองเพียงลำพัง ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 23 ก.ค.จนกระทั่งวันที่ 24 ก.ค.จึงมีคนมาพบ และเมื่อเป็นข่าวขึ้นตนเกิดกลัวความผิดจึงให้แม่พาไปหาพ่อที่ จ.อุบลราชธานี และญาติบอกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมาติดตามไปสอบปากคำ จึงให้แม่พากลับมาให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน จนกระทั่งยอมรับสารภาพว่าทำจริง และทำคนเดียว โดยไม่มีใครสั่งหรืออยู่เบื้องหลังแต่อย่างใดทั้งสิ้น