อุดรธานี - ฟ้ามีตา! ศาลฎีกาพิพากษาลับหลัง จำคุก “ขวัญชัย” 2 ปี ปรับ 350,000 บาท คดีพาเสื้อแดงรุมสกรัมพันธมิตรฯ ที่หนองประจักษ์ ด้านเมียเผยสามีไม่ได้หนีไปไหน เพราะวันเกิด 13 มิ.ย.ที่ผ่านมายังโฟนอินเข้ารายการวิทยุ แค่หลบอยู่ในที่ปลอดภัย แถต่อหากประเทศไทยมีประชาธิปไตยเมื่อไหร่ คิดว่าน่าจะกลับมารับโทษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สายวันนี้ (28 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 4 ศาลจังหวัดอุดรธานี นายชยสร ตันทวีวงศ์ ผู้พิพากษา ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา คดีดำที่ อ.2149/51 คดีแดงที่ 2652/54 ครั้งที่ 2 ระหว่างนายเจริญ หมู่ขจรพันธุ์ อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) อุดรธานี กับพวก 7 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายขวัญชัย สารคำ หรือไพรพนา อดีตประธานชมรมคนรักอุดร ข้อหาร่วมกันพยายามฆ่า, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันทำลายทรัพย์สิน เหตุเกิดที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม เขตเทศบาลนครอุดรธานี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จ นายปิ่น ทักษิณ ทนายความนายขวัญชัยเปิดเผยว่า วันนี้ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษาโดยออกหมายจับจำเลยไว้ เป็นการอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย โดยได้พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้เหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และปรับเป็นเงิน 350,000 บาท และสั่งปรับนายประกันที่ทำสัญญาไว้จำนวน 500,000 บาท
เหตุที่ศาลฎีกาลดโทษของศาลอุทธรณ์ลงเพราะเห็นว่าจำเลยมีความผิดจริง แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาโทษสูงเกินไป ส่วนคดีการหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาของนายขวัญชัยนั้นจะมีการนำมาประกอบพิจารณาโทษอีกครั้ง เพราะครั้งนี้ศาลฎีกาพิพากษาให้ได้รับโทษไม่มากนัก หากนายประกันติดตามตัวจำเลยมาได้อาจมีการพิจารณาเรื่องของการปรับนายประกันอีกครั้ง
ด้านนางอาภรณ์ สาราคำ ภรรยานายขวัญชัย เปิดเผยว่า ขอขอบคุณที่ศาลเมตตาลดโทษให้เหลือจำคุกแค่ 2 ปี ตนจะพยายามติดต่อกับทางนายขวัญชัยให้รับทราบว่าศาลท่านตัดสินเหลือจำคุกเพียง 2 ปี วันนี้ตนยังไม่ได้คุยกับตัวนายขวัญชัย ทราบเพียงว่าไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เพราะยังได้โทรศัพท์มาออกอากาศสดที่สถานวิทยุ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันเกิดของนายขวัญชัย
โดยขณะออกอากาศสด นายขวัญชัยได้ฝากบอกกับประชาชนว่ายังอยู่สบายและปลอดภัยดี ซึ่งโทรศัพท์ที่ใช้โทร.มาไม่ได้โชว์เบอร์ จึงติดต่อกลับไปไม่ได้ ไม่ทราบว่าขณะนี้นายขวัญชัยหลบไปอยู่ที่ไหน เพราะวันนั้นตนก็ไม่ได้ฟังรายการเพราะไปธุระที่กรุงเทพฯ แต่มาทราบจากสมาชิกที่รับฟังทางคลื่น 97.5 เมกะเฮิรต ซ์ และก็ไม่ทราบว่าพูดนานแค่ไหน
“ถึงวันนี้เราก็ไม่ทราบว่าตัวแกไปอยู่ที่ไหน ทราบแต่ว่าอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เรื่องที่ไม่มาฟังคำพิพากษาคิดว่าตัวเขาเองคงพิจารณาเองแล้วว่าหากประเทศไทยมีประชาธิปไตยเมื่อไหร่ คิดว่าตัวนายขวัญชัยน่าจะกลับมารับโทษ เพราะช่วงนี้ยังถือว่ายังไม่มีประชาธิปไตย เมื่อคิดว่ายังไม่มีความยุติธรรมก็คงไปหาที่ปลอดภัยของตัวเอง เพราะขนาดตัวแกเองอยู่ที่บ้านยังไม่ปลอดภัย ทำให้เราคิดว่าที่ผ่านมาตัวแกเองถูกรังแกมากที่สุด” นางอาภรณ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนคดีที่ถูกลอบยิงและศาลชั้นต้นยกฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดจะดำเนินการอย่างไรต่อ นางอาภรณ์ให้ทางนายปิ่น ทนายความนายขวัญชัยตอบ โดยนายปิ่นตอบว่าเรื่องนี้ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อตามระยะเวลาที่กำหนดที่จะขอยื่นอุทธรณ์และฎีกาคดีให้ถึงที่สุด ในฐานะเป็นโจทก์ร่วมที่เป็นผู้เสียหาย เพราะจุดนี้เองที่ทำให้ตัวของนายขวัญชัยมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัย ในฐานะที่เขาเป็นผู้เสียหายเขาได้รับผลอย่างหนึ่ง แต่ในฐานะเป็นผู้กระทำมันกลับมีผลกระทบอีกอย่างหนึ่ง นี่คือความรู้สึกของนายขวัญชัยที่เราต้องพยายามทำความเข้าใจกับเขา ส่วนเขาจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ขณะที่นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ เปิดเผยถึงเรื่องคดีความคดีดังกล่าวว่า เป็นคดีที่ยืดยาวและยาวนานมาก ถือว่าวันนี้เป็นวันที่หมดเวรหมดกรรม การที่นายขวัญชัยหลบหนีไปนั้น ตนก็ไม่รู้ว่านายขวัญชัยคิดอย่างไร แต่รู้เพียงว่าคดีนี้มีอายุความ 15 ปี ขอฝากไว้สำหรับคนที่ติดตามคดีนี้ อยากให้คดีนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน อย่าคิดแค่เพียงเอามัน อย่าคิดแค่เพียงรับใช้นักการเมือง
“อยากให้ดูกรณีของนายขวัญชัยเป็นตัวอย่าง เมื่อคดีความถึงที่สุด นักการเมืองที่เขารับใช้ยังไม่เคยหันกลับมาเหลียวแลสักคน ส่วนตัวแล้วได้อโหสิกรรมให้มาตั้งนานแล้ว” นายเจริญกล่าว