ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ตื่นพบโครงกระดูกโบราณ เครื่องมือเกษตร เครื่องประดับสัมฤทธิ์ ที่อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น สำนักโบราณคดีรุดตรวจสอบ เผยอยู่ในยุคเหล็ก อายุร่วม 1,500 ปี เตรียมพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ วอนชาวบ้านที่เอาแหวน กำไลไปนำมาคืน
วันนี้ (23 พ.ค. 59) นายวัชรเดช เกียรติชานน นายอำเภอกระนวน จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย นายผาสุก ขวัญพรหม กำนันตำบลหนองกุงใหญ่ ได้นำนางสาวศิริวรรณ ทองขำ นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 9 จังหวัดขอนแก่น เข้าตรวจสอบโครงกระดูกมนุษย์โบราณภายในไร่ของนางลัดดาวัลย์ จันทร์มา อายุ 58 ปี บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่ หมู่ 12 บ้านผักหนามคำ ต.หนองกุงใหญ่ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น หลังจากปรับพื้นที่เพื่อเพาะปลูกเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 59 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
นายวัชรเดช เกียรติชานน นายอำเภอกระนวน กล่าวว่า เท่าที่ทราบจากกำนันตำบลหนองกุงใหญ่ทราบว่าได้มีคนหาของเก่าโดยการใช้เครื่องสแกนโลหะ และสามารถขุดเจอจำนวน 19 ชิ้น สามารถนำกลับคืนมาได้จำนวน 13 ชิ้น ประกอบด้วยเครื่องมือการเกษตรที่ทำจากเหล็ก คือ เสียม มีด ปลายหอก จำนวน 8 ชิ้น เครื่องประดับ 13 ชิ้น เป็นแหวนทำด้วยทองสัมฤทธิ์ 2 วง กำไลข้อมือ 11 อัน มีลักษณะที่สมบูรณ์ 8 อัน ส่วนที่เหลือ 3 อันสภาพแตกหัก
เบื้องต้นได้มอบหมายให้ผู้นำองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกุงใหญ่ และกำนันตำบลหนองกุงใหญ่ประสานเจ้าของพื้นที่เพื่อพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งเรียนรู้ให้ประชาชนทั่วไปได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ซึ่งจะต้องประชุมร่วมกับกรมศิลปากรว่าแนวทางจะไปในทิศทางใด อีกทั้งต้องคอยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดเวรยามมาตรวจตราเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาขุดเองโดยพลการ และวิงวอนให้ผู้ที่เอาวัตถุโบราณที่เหลือจำนวน 6 ชิ้นไปนำกลับมาคืนเพื่อเป็นสมบัติของแผ่นดินด้วย
ด้านนางสาวศิริวรรณ ทองขำ นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 9 จังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า จากการตรวจสอบโครงกระดูกภายในหลุมฝังศพ เศษไหแตก กำไล และอุปกรณ์ที่พบ สามารถระบุได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ฝังศพของคนสมัยก่อน เพราะภายในหลุมมีอุปกรณ์การเกษตรคือเสียมที่ทำด้วยเหล็ก กำไลและแหวน ทำจากทองสัมฤทธิ์ มีอายุประมาณ 1,500 ปี อยู่ในยุคเหล็ก
ซึ่งในภาคอีสานจะเห็นได้จากโนนเมือง อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น และบ้านเชียง จ.อุดรธานี ซึ่งบริเวณนี้เชื่อว่าเป็นชุมชนเก่าแก่ เพราะดูจากทำเลแล้วมีลำห้วยไหลผ่าน สถานที่พบโครงกระดูกเป็นบริเวณฝังศพ หรือป่าช้า คาดว่าน่าจะมีหลุมฝังศพอีกหลายหลุม ซึ่งจะต้องสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนผู้ที่นำวัตถุโบราณไปครอบครองเป็นสมบัติของตัวเอง เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน
รายงานเพิ่มเติมแจ้งว่า บริเวณดังกล่าวมีชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างทยอยเข้ามาดูเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่มีที่จอดรถ บริเวณโดยรอบมีเศษไหแตกกระจายไปทั่วบริเวณ บางคนเข้าไปคุ้ยเขี่ยหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทั้งวัตถุโบราณ หรือเขี้ยวสัตว์ต่างๆ เพื่อเอาเป็นสมบัติส่วนตัวทั้งที่มีป้ายติดไว้ด้านหน้าว่า “ห้ามเก็บของโบราณกลับบ้าน อันตราย ของมีเจ้าของ ดูเพื่อการศึกษาเท่านั้น” บางรายก็พยายามมานับชิ้นส่วนกระดูก หรือจำนวนของวัตถุโบราณว่ามีจำนวนเท่าใด เพื่อนำตัวเลขไปเสี่ยงโชค