พระนครศรีอยุธยา - “พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ” แถลงผลความคืบหน้าคดี “เจนภพ วีรพร” ขับเบนซ์พุ่งชนท้ายฟอร์ดจนไฟไหม้ 2 นศ.ปริญญาโทเสียชีวิตคาซากรถ บันทึกหลักฐานชัด “เจนภพ” ขับรถเร็วขณะพุ่งชน 257 กม.ต่อชั่วโมง เล็งตั้งข้อหาเพิ่ม ส่วนคณะกรรมการตรวจสอบการทำงานของตำรวจชุดแรกพบข้อบกพร่องจริง เตรียมเสนอพิจารณาโทษ
จากกรณี นายเจนภพ วีรพร ขับรถยนต์เบนซ์พุ่งชนท้ายรถยนต์ฟอร์ดทำให้เพลิงไหม้รถ นายกฤษณะ ถาวี และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย ทั้งคู่เป็นนิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เสียชีวิตคาซากรถจน เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมของการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าทำงานล่าช้า จนมีการเปลี่ยนทีมพนักงานสอบสวน และหลังจากมีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวนแล้ว เจ้าหน้าที่ได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อคดีทั้งหมดตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (29 มี.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.ภาค 1 พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.สุรินทร์ ทัพพันบุบผา รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา และหัวหน้าทีมสอบสวน ได้เข้าร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าของคดี พร้อมกับทีมทนายความของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย
พล.ต.อ.พงศพัศ เปิดเผยก่อนเข้าประชุมว่า ขณะนี้การสอบสวนพยานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 43 ปาก สอบไปแล้ว 31 ปาก บางส่วนเป็นญาติของผู้เสียชีวิตที่ยังไม่สะดวกในการให้ปากคำ รวมถึงรอผลพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงการตรวจวัดความเร็วของรถยนต์เบนซ์ซึ่งทางบริษัทเมอร์เซเดส เบนซ์ ประเทศไทย ปฏิเสธที่จะตรวจ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ประสานไปยังบริษัทเมอร์เซเดส เบนซ์ ที่ฮ่องกง ซึ่งจะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจในช่วงปลายเดือนนี้ ส่วนวันนี้จะให้ทางญาติของผู้เสียชีวิตร่วมรับฟังการแถลงข่าวด้วย
ภายหลังการประชุม พล.ต.อ.พงศพัศ ได้เชิญญาติ พร้อมทนายความของผู้เสียชีวิตร่วมในการแถลงข่าว โดย พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนพยาน และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เริ่มตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ พยานขณะเกิดเหตุ พยานหลังเกิดเหตุ พยานแวดล้อม พยานผู้เชี่ยวชาญเกือบครบแล้ว พนักงานสอบสวนมีความมั่นใจพยาน และหลักฐานต่างๆ สามารถดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาได้อย่างแน่นอน ภายในสิ้นเดือนนี้สามารถรวบรวมพยานหลักฐานส่งอัยการฟ้องได้
สำหรับนายเจนภพ มีกำหนดฝากขังในวันที่ 29 มี.ค.พนักงานสอบสวนได้ฝากขังในผลัดที่ 2 แล้วมีกำหนดฝากครั้งอีกครั้งในวันที่ 10 เม.ย.59 สำหรับผลการตรวจพิสูจน์เรื่องของความเร็วซึ่งทำการตรวจจากภาพจากกล้องหน้ารถของพยานคำนวณทางหลักวิทยาศาสตร์ ทราบผลความเร็วที่ 215-257 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเตรียมที่จะตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีกคือ ขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของบุคคลอื่น
ในส่วนของการสอบสวนข้อเท็จจริงของการทำงานพนักงานสอบสวนของ สภ.พระอินทร์ราชา นั้น พบว่า มีความบกพร่องต่อหน้าที่ ตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่รับคำร้องทุกข์ทันที เพราะเหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 มี.ค. แต่ไปรับคำร้องทุกข์ในวันที่ 14 มี.ค.ซึ่งทาง พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา จะทำการพิจาณาโทษเสนอต่อผู้บังคับบัญชาต่อไปได้ประสานกับทางโรงพยาบาลตำรวจ แล้วสามารถนำเส้นผมของตัว นายเจนภพ ไปตรวจพิสูจน์ เพื่อหาสารเสพติดได้ ได้ทำหนังสือของเลือดของ นายเจนภพ ซึ่งทางโรงพยาบาลสมิติเวช ได้ทำการเจาะเลือดเอาไว้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. เมื่อได้รับเลือดจะนำมาให้ทางโรงพยาบาลตำรวจตรวจพิสูจน์ รายละเอียดของการสอบสวน และพยานหลักฐานส่วนอื่นขอไม่เปิดเผยเพราะจะทำให้เสียรูปคดี การขับรถเร็วบนทางด่วนซึ่งมีความชัดเจนแล้วทำไมไม่มีการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ต้องทำการสอบสวนต่อไป
ด้าน นายทิวากร ฮ้อแสงชัย พ่อของ น.ส.ธันฐภัทร์ กล่าวว่า มีข้อสงสัยในประเด็นของของการตรวจเลือดของผู้ต้องหาว่า ผู้ต้องหามีฐานะเป็นผู้ต้องหาเมื่อใด และผู้ต้องหามีสิทธิที่จะไม่ยอมเจาะเลือดได้หรือไม่ ความรู้สึกส่วนตัวผู้ต้องหาไม่น่าจะปฏิเสธได้ ในเรื่องของที่ทางบริษัทเบนซ์ ในประเทศไทย ปฏิเสธที่จะตรวจเรื่องของความเร็วรถ ร้องขอให้ผู้ชำนาญจากต่างประเทศเข้ามาทำการตรวจสอบ
“ในสองเรื่องนี้ขอให้รอบคอบมากที่สุดในการประกอบสำนวน และในเรื่องของเหตุการณ์บนทางด่วนที่ชนแพงกันแล้วทำไมปล่อยไป ไม่มีการควบคุมตัว และมีการขับรถเร็วด้วย ถ้าเราปล่อยเรื่องนี้ไปจะเป็นตัวอย่างที่คนอื่นนำไปทำบ้างแล้วไม่ผิด อยากให้คดีของลูกสาวผมเป็นคดีตัวอย่างถึงกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกระบวนการกฎหมายไทย” นายทิวากร กล่าว
