ศูนย์ข่าวศรีราชา - เมืองพัทยา เดินหน้าต่อยอดปัญหารุกล้ำคลองสาธารณะด้วยการบูรณาการร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมลงสำรวจรังวัดแนวคลองปึกพลับ หลังพบมีชุมชนรุกแนวคลองเป็นจำนวนมาก หวังขยายทางน้ำเพิ่มพื้นที่สาธารณะ แก้ปัญหาน้ำท่วมนาเกลืออย่างยั่งยืน
วันนี้ (15 ก.พ.) นายวีรวัฒน์ ค้าขาย รองนายกเมืองพัทยา เป็นประธานการประชุมร่วมกับ นายชาคร กัญจนะวัตตะ นายอำเภอบางละมุง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ศาลาว่าการเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาอาคารลุกล้ำแนวคลองสาธารณประโยชน์ คลองปึกพลับ หลังพบปัจจุบันมีปัญหาอาคาร และสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำแนวคลองจำนวนมาก จนทำแนวคลองมีสภาพคับแคบ จนทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังต่อเนื่อง
นายวีรวัฒน์ กล่าวว่า หลังดำเนินการแก้ไขปัญหาสิ่งก่อสร้างรุกล้ำแนวคลองสาธารณะพัทยาใต้ ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก จนเหลือเพียงอาคาร และสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ช่วงปลายคลองอีก 2-3 ราย ทำให้ปัจจุบันคลองมีขนาดใหญ่ และน้ำในฝั่งพัทยาใต้ไหลสะดวกขึ้น ขณะที่ในพื้นที่นาเกลือก็พบว่า ที่ผ่านมา ประสบปัญหาน้ำท่วมขังอย่างรุนแรง สาเหตุหนึ่งมาจากคลอง หรือลำรางที่ใช้ในการระบายน้ำมีตื้นเขิน คับแคบ
โดยเฉพาะช่วงคลองปึกพลับ ซึ่งรับน้ำจากฝั่งวัดโพธิสัมพันธ์ และชุมชนฝั่งตะวันออก จากการตรวจสอบพบว่า สภาพของคลองสายนี้มีการบุกรุกก่อสร้างอาคารรุกล้ำแนวคลองตลอดแนว จากช่วงบริเวณปากซอยนาเกลือ 40 ไปจนถึงปากคลองที่ไหลลงสู่ทะเลจนเกิดปัญหาขึ้น จึงได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
“ปัจจุบันตลอดแนวที่ดินริมคลองปึกพลับทั้ง 2 ด้าน มีทั้งในส่วนของที่ดินว่างเปล่า และอาคาร ร้านค้าที่พักอาศัย และสำนักงานกว่า 40 ราย ส่วนใหญ่พบว่าแนวของอาคารรุกล้ำไปบนแนวคลองสาธารณะ ซึ่งที่ผ่านมา เมืองพัทยาได้ออกคำสั่ง ค.3 ค.4 และ ค.7 ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารสำหรับอาคารขนาดใหญ่เพื่อให้แก้ไข และรื้อถอนไปแล้ว 1 ราย ปัจจุบันกำลังรอระยะเวลาที่กฎหมายบังคับ
ขณะที่ส่วนที่เหลือนับสิบรายได้นัดหมายให้สำนักงานที่ดิน เจ้าท่า และกำลังทหารจาก มทบ.14 รวมทั้งเจ้าของที่ดิน และอาคารลงพื้นที่ทำการสำรวจ และรังวัดอย่างเป็นทางการหลังจากวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ก่อนจะกำหนดระยะ พร้อมชี้แจงทำความเข้าใจ และขอความร่วมมือจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ในการแก้ไขอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างตามแนวพื้นที่จริง”
ทั้งนี้ หากการดำเนินการแล้วเสร็จสมบูรณ์จะทำให้แนวคลองปึกพลับมีพื้นที่ขยายเพิ่มจากเดิมกว่า 3 เท่า และจะทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต