xs
xsm
sm
md
lg

“ปราการ นกหงษ์” เจเนอเรชั่นใหม่ LT Group ทุนใหญ่ตะวันออก-ยักษ์ที่ไม่เคยหลับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:

การเกิดขึ้นของธุรกิจในเครือศรีราชเทพประทาน เมื่อปี 2520 โดยการก่อตั้งของ นายสมควร นกหงษ์ อดีตประธานหอการค้าจังหวัดชลบุรี นักธุรกิจชื่อดังแห่งภาคตะวันออก ผู้ผันตัวเองจากชาวนาในวัย 35 ปี มาเริ่มสร้างตัวด้วยการขายฝรั่งดอง จนกลายเป็นเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งห้างสรรพสินค้า ในรูปแบบดีพาร์ทเมนท์สโตร์ที่ทันสมัย ที่มีบันไดเลื่อนเป็นแห่งแรกในจังหวัดชลบุรี ภายใต้ชื่อ ห้างฯ แหลมทอง ศรีราชาในปี 2527 พร้อมขยายธุรกิจขนส่งและขยายสาขาห้างฯอีกหลายแห่ง ดูเหมือนจะเป็นภาพธุรกิจที่สดใส หากไม่เกิดวิกฤติครั้งใหญ่ขึ้นในปี 2540 จนนำมาสู่การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

ครั้งนั้นชื่อของ “ปราการ นกหงษ์” บุตรชายคนโต เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักการธนาคาร และซัพพลายเออร์ต่างๆ ที่ต้องทำการค้ากับห้างฯ แหลมทอง เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นกำลังหลักในการแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างหนักทางธุรกิจแล้ว ยังเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับ แอลที กรุ๊ป อีกด้วย

คุณปราการ บอกว่าในยุคที่กลุ่มศรีราชเทพประทาน เติบโตในธุรกิจค้าปลีก ภาพของ ศรีราชเทพประทาน คือธุรกิจขนาดกลางที่มีแนวทางที่จะพัฒนาให้เติบใหญ่ขึ้นได้ แต่เพราะการขยายตัวที่รวดเร็วเกินไป และไม่ได้มีการวางแผนรับมือกับทุนค้าปลีกขนาดใหญ่ทั้งจากส่วนกลางและต่างชาติที่รุกเข้ามาพร้อมๆ กันตั้งแต่ช่วงปี 2539 รวมทั้งผลกระทบจากการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540

“ปี 2540 กลุ่มโลตัส เริ่มขยายสู่ต่างจังหวัดและเปิดสาขาพัทยา เป็นแห่งแรกที่มีทุกอย่างครบ พอเห็น เรารู้เลยว่าสิ่งที่เขาทำกับสิ่งที่เราทำมันคนละเรื่องกัน เขาเป็นฝรั่งที่มาทำการค้าแข่งกับคนที่ทำหาบเร่ ขณะเดียวกันกลุ่มศรีราชานคร ก็ดึงโรบินสันเข้ามาเปิดในศูนย์การค้าแปซิฟิค พาร์ค คู่แข่งเรามาพร้อมกันหมด ในปีนั้นเราก็ใช้เงินลงทุนเยอะกับการเปิดสาขาใหม่ที่จังหวัดระยอง และยังเจอบิ๊กซี ระยองที่มาเปิดอีก สุดท้ายเงินที่จะหมุนไปจ่ายซัพพรายเออร์ก็เริ่มติดขัด ภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง เงินตึงมือ จนนำมาสู่มหากาพย์การปิดธุรกิจ”

ครั้งนั้น ศรีราชเทพประทาน ตัดสินใจปรับลดโครงสร้างทางธุรกิจทั้งหมดเพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยเลือกที่จะปิดห้างฯแหลมทอง สาขาแหลมฉบังและศรีราชา เพื่อตีโอนชำระหนี้ให้ธนาคาร ก่อนที่จะสามารถซื้อคืนกลับมาในภายหลัง โดยในช่วงวิกฤตใหญ่เหลือเพียง 2 ห้างฯ ที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ คือ สาขาบางแสน และสาขาระยอง แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ศรีราชเทพประทาน กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ติดปัญหา NPL ในยุคฟองสบู่แตก

“เมื่อธุรกิจไม่ประสบผลสำเร็จเราต้องยุติการดำเนินงานของศรีราชเทพประทานในการทำธุรกิจและตั้ง แอลที กรุ๊ป ขึ้นมาให้เพื่อดำเนินธุรกิจตัวอื่นให้เดินไปได้ ซึ่งทุกวันนี้ธุรกิจที่เกิดจาก ศรีราชเทพประทาน ก็ยังมีอยู่เพียงแต่เติบโตแตกต่างกันไปตามแต่ละประเภท”

เมื่อไม่ย่อท้อต่อปัญหาที่เกิดขึ้น คุณปราการ นกหงษ์ และบิดา เริ่มเดินหน้าเจรจากับธนาคาร เพื่อขอให้ช่วยออกหนังสือเงินค้ำประกัน (LG) สำหรับสั่งซื้อสินค้า ก่อนเดินสายเจรจากับเหล่าบรรดาซัพพลายเออร์ทั้งหลาย เพื่อให้นำสินค้ากลับมาให้วางจำหน่ายอีกครั้ง ซึ่งโชคดีที่ธุรกิจการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกมีส่วนช่วยประคับประคองให้เศรษฐกิจดีขึ้น ประกอบกับเริ่มเรียนรู้และวางแผนการรับมือกับคู่แข่งขันทางธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น จึงทำให้วงจรธุรกิจที่เคยหยุดหมุนไปกลับมาหมุนอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น แอลที กรุ๊ป ยังได้ขอรับการสนับสนุนวงเงินกู้จากแบงก์พาณิชย์รอบใหม่ เพื่อปรับรูปแบบธุรกิจจากดีพาร์ตเมนต์สโตร์ สู่ ซูเปอร์สโตร์ ที่เข้าใกล้ลูกค้าได้มากกว่า ภายใต้ชื่อ “saveland” พร้อมเปิดสาขาแรกที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ,อำเภอบ้านบึงและพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา

จากนั้นในปี 2543 ได้เปลี่ยนชื่อ “saveland’ บางแสน ให้กลับมาเป็นห้างฯ แหลมทองบางแสนอีกครั้ง และปรับรูปแบบการขายจากการเป็นผู้ขายเอง มาเป็นให้เช่าพื้นที่เพราะมองว่าการทำธุรกิจในรูปแบบที่ต้องขายเอง ไปไม่รอด และไม่มีทางชนะคู่แข่งจากส่วนกลางที่มีทุนมากกว่าได้

“ก่อนเกิดวิกฤตปี 2540 กำไรของเรามาจากธุรกิจดีพาร์ตเมนต์สโตร์ และซูเปอร์มาร์เก็ตถึง 85 % ส่วนรายได้จากพื้นที่ให้เช่ามีเพียง 15% แต่เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปเราต้องปรับรูปแบบใหม่ด้วยการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีข้อได้เปรียบด้านทำเล มาสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมนำห้างฯแหลมทอง ศรีราชา ที่เคยตีโอนให้แบงก์จนต้องปิดตัวนานถึง 4 ปี กลับมาพัฒนาเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าไอทีใช้ชื่อว่า ตึกคอม ศรีราชา ด้วยงบดำเนินงานที่น้อยมาก และเชิญพันธมิตรจาก พันธ์ทิพย์พลาซ่าเข้าร่วม ซึ่งมันบังเอิญมากที่เราปรับโฉมธุรกิจได้ถูกกับจังหวะและเวลา จึงทำให้ชื่อของ ตึกคอม ศรีราชา บูมกว่าที่คิดไว้มาก ”

วันนี้ แอลที กรุ๊ป กลับมาผงาดในแวดวงธุรกิจภาคตะวันออกอีกครั้ง โดยมีธุรกิจหลักในเครือ 5 กลุ่ม ประกอบด้วย ธุรกิจศูนย์การค้าใต้ 3 แบรนด์ คือ ตึกคอม, ฮาร์เบอร์ และแหลมทอง บางแสน

ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ ธุรกิจที่พักอาศัยให้เช่าในลักษณะเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์และโรงแรม มี 2 แห่งที่ศรีราชาคือ บัลโคนี่ คอร์ตยาร์ต และ บัลโคนี ซีไซต์ โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ และคนไทยที่มีกำลังซื้อระดับบน

ธุรกิจที่ 3 คือออฟฟิศ - สำนักงานให้เช่า ปัจจุบันมีอยู่ 2 แห่งคือ ที่ ฮาร์เบอร์ ออฟฟิศ แหลมฉบัง และออฟฟิศสแควร์ ตึกคอม ชลบุรี ธุรกิจที่ 4 ป้ายบิลบอร์ดให้เช่า ทั้งในภาคตะวันออกและอีสาน ที่มีประมาณ 400 ป้ายและกำลังจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นจอ LED

กลุ่มธุรกิจที่ 5 ธุรกิจกลุ่มใหม่ล่าสุด คือเป็นธุรกิจสวนสนุกในร่มแบบต่างๆภายใต้แบรนด์ Harbor Land, Jump XL, Deep และ Snow Land
Harbor Pattaya
“ โดยในปีนี้เรามีการขยายธุรกิจศูนย์การค้าแบรนด์ ฮาเบอร์ เพิ่มอีก 1 สาขา คือ Harbor Pattaya โดยใช้ธีมเป็นศูนย์การค้าสำหรับครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ภายใต้คอนเซปต์ The Family Paradise ให้ฮาร์เบอร์ พัทยาเป็น ดินแดนแห่งความสุขของทุกคนในครอบครัว

เราได้ขยายธุรกิจในกลุ่มที่ 5 คือ Indoor Playground ภายใต้ชื่อ Harbor Land สวนสนุกในร่มระดับโลก ที่จะมีผู้ผลิตเครื่องเล่นระดับโลกเบอร์ 1และ 2 จากยุโรปเข้าร่วมลงทุน และจะมีเพลย์โซนอื่นๆอีก 9 โซน “Jump XL” Trampoline Park, “Deep” ปีนหน้าผาจำลองใต้ทะเลลึก, “Kidzoona & Molly Fantasy” สวนสนุกเด็กเล็กจากประเทศญี่ปุ่น, “Mario Land” โซนเกมส์อาเขต, “The Rink” ไอซ์สเก็ตมาตราฐานระดับโลก (เปิดตุลาคม), “Snow Land” เมืองหิมะ (เปิดตุลาคม), “Baby Pool” สระว่ายน้ำสำหรับเด็กเล็ก (เปิดปลายปี)”, “Fitness First” (เปิดต้นปี 2560), และ “Harbor Learn & Play” โซน Edutainment ศูนย์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการของเด็ก โดยเราเชื่อว่าเด็กและครอบครัวที่เข้ามาจะมีความสุขและอยากกลับมาอีก กลุ่มเป้าหมายคือครอบครัวในชลบุรี และระยอง 50% ครอบครัวชาวไทยจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล 20% อีก 30% เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ”

คุณปราการ บอกอีกว่าในปี 2559 แอลที กรุ๊ป จะใช้เงินลงทุนอีก 2.75 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนที่ต่อเนื่องจากปี 2557 แบ่งเป็น ฮาร์เบอร์ พัทยา ประมาณ 2 พันล้านบาท และ บัลโคนี ซีไซต์ ในส่วนขยายที่จะเพิ่มขึ้นอีก 150 ห้อง ให้เป็น 240 ห้อง ภายใต้เงินลงทุน 750 ล้านบาท

“คำถามที่ว่าเราไปเอาเงินมาจากไหน ทำไมจึงฟื้นธุรกิจได้เร็ว เราก็อยากบอกว่าจริงๆ แล้วในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจของเราสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องทุกปี และ แอลที กรุ๊ป ไม่เคยมีเงินจากการเมือง หรือทำธุรกิจผิดกฎหมายและเราไม่โกง นี่คือสิ่งที่เราทำมาตลอด เราฟื้นตัวเร็วเพราะธุรกิจที่ทำส่วนใหญ่เราปรับให้เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบแบ่งให้เช่าที่อยู่ในทำเลที่ถูกต้องและมีอนาคต ธนาคารจึงพร้อมให้การสนับสนุน ที่ผ่านมาธุรกิจของเรา เหมือนของเสียในมือเขามาตลอด แต่เมื่อเขาเห็นวิธีการแก้ปัญหาจากของเสียให้กลายเป็นของที่ดีจนเขามีตัวเลขการเติบโต จึงเกิดความเชื่อมั่น ตรงนี้สำคัญมากนะ ความเชื่อมั่นที่เขามีต่อการดำเนินธุรกิจของเรา ในปี 2558 เรามีรายได้มากถึง 1,500 ล้าน มีกำไรในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งธุรกิจในกลุ่ม แอลที กรุ๊ป ไม่รวมกับห้างฯ แหลมทอง ระยอง ที่อยู่ในการดูแลของน้องสาว และ แหลมทอง เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ที่อยู่ในการดูแลของน้องชาย” นายปราการ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น