ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ชาวไทใหญ่ ทั่วสารทิศหลั่งไหลร่วมงาน “วันชาติไต ครบรอบ 69 ปี” จนแน่นดอยไตแลง “เจ้ายอดศึก” นำทัพ RCSS พัฒนา 5 สาขาหลัก เดินหน้าสู่เป้าหมายเรียกร้อง “เอกราช” ย้ำโอกาสไม่ได้มีมาบ่อย ขณะที่ “แม่เดือน” ภรรยานำทีมฝรั่งที่ปรึกษาขนของบริจาคช่วยเด็กไทใหญ่อีกทาง
บริเวณ “ลานปางเสือเผือก ดอยไตแลง” ศูนย์บัญชาการใหญ่ของ “สภาเพื่อกอบกู้รัฐฉาน (RCSS)” ที่มี พล.ท.เจ้ายอดศึก เป็นผู้นำสูงสุด เต็มไปด้วยชาวไต หรือไทใหญ่ จากทั่วสารทิศ ที่พร้อมใจกันเดินทางมาร่วมงาน “วันชาติไทย ครบรอบ 69 ปี” เมื่อ 7 ก.พ.59 ที่ผ่านมา
บ้างก็หยุดพักชีวิตนักรบแรงงานชั่วคราว ก่อนรวบรวมข้าวของบริจาค พร้อมสัมภาระส่วนตัว นั่งบนหลังรถกระบะของพี่น้องร่วมชาติ ออกเดินทางจากระยอง , ชลบุรี , กรุงเทพฯ ,อยุธยา , เชียงราย , เชียงใหม่ ฯลฯ แบบข้ามวัน ข้ามคืน
รวมถึง “ชาวไต” จากหลากหลายเมืองในพื้นที่ชั้นในของพม่า หรือเมียนมา เช่น ลางเคอ ลาเฉียว เชียงตุง ฯลฯ ที่พากันดั้นด้นเดินเท้า-นั่งรถประจำทางในพม่า บางกลุ่มข้ามฝั่งเข้าชายแดนเชียงราย , เชียงใหม่ ก่อนเหมารถตู้จากเชียงใหม่ เป็นขบวนไม่น้อยกว่า 20 คัน
ทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือ มุ่งหน้าออกชายแดนแม่ฮ่องสอน ขึ้นสู่ “บก.ดอยไตแลง” ร่วมงานวันชาติไต พร้อมกับ “ใหม่สูงข้า” หรือสวัสดีพี่น้องร่วมชาติพันธุ์
ไม่เพียงเท่านั้น ในโอกาสฉลองวันชาติไต ครบรอบ 69 ปี ในปีนี้ “แม่เดือน” ภรรยา พล.ท.เจ้ายอดศึก ยังนำที่ปรึกษาชาวอเมริกัน คือ “คริสตี้ และจอมใจ” ที่ว่ากันว่า เข้ามาช่วยงานในฐานะที่ปรึกษาของผู้นำ RCSS ร่วมนำของบริจาคมามอบให้โรงเรียนที่ตั้งขึ้นบน บก.ดอยไตแลง ที่เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาไต มีนักเรียนกว่า 700 คน และในจำนวนนี้มีอยู่กว่า 300 คน เป็นเด็กกำพร้า พ่อ-แม่เสียชีวิตจากการรบ หรือได้รับผลกระทบจากการรบระหว่างกองกำลัง RCSS กับทหารพม่าในระยะที่ผ่านมา
ทำให้งานฉลองครบรอบ 69 ปีวันชาติไต ผิดจากงานวันชาติปีก่อนๆอย่างสิ้นเชิง!!
พล.ท.เจ้ายอดศึก ผู้นำ RCSS ที่นำกำลังทหารหน่วยต่าง ๆ กว่า 2,000 นาย เข้าร่วมพิธีสวนสนาม ณ ลานฝึกปางเสือเผือก ยังคงประกาศย้ำจุดยืน ที่จะต้องเดินหน้าต่อสู้เรียกร้องอธิปไตยของชาวไทใหญ่ต่อไป หลังจากที่มีการเจรจาหยุดยิงมาเป็นระยะเวลานานราว 4 ปี และขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาทางการเมือง ว่าด้วยความสงบร่มเย็นในภาคพื้นสหภาพ (UPC) ก่อนที่จะก้าวไปสู่การปฏิรูปการเมืองต่อไป
พล.ท.เจ้ายอดศึก บอกว่า ไม่ต้องการให้ไทใหญ่ เป็นเหมือนชาติพันธุ์บางกลุ่มในพม่า ที่เจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า มานานกว่า 20 ปี แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อโอกาส ที่ไม่ได้มีมาบ่อยครั้งมาถึง จึงจะพยายามพัฒนาชาติไต ให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้ได้พยายามวางแผนพัฒนาใน 5 สาขาหลักๆคือ การเมือง , การศึกษา , การเกษตร , เศรษฐกิจ และกฎหมาย
โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ “เอกราช และการปกครองตัวเอง”
ซึ่ง “โอกาส” ที่ว่านี้ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นหลังการหยุดยิง และการเจรจาทางการเมือง ที่มีการประชุมใหญ่ว่าด้วยความสงบร่มเย็นในภาคพื้นสหภาพ (UPC) ที่ล่าสุดรัฐบาลพม่า ให้การรับรอง RCSS รวมถึงการปลดชื่อออกจากบัญชีดำว่า เป็นกลุ่มกองกำลังนอกกฎหมาย และนำมาซึ่ง การยกคณะเดินทางไปดูงานถึงสวิสเซอร์แลนด์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาของ พล.ท.เจ้ายอดศึก และคณะ
พล.ท.เจ้ายอดศึก บอกว่า สวิสฯก็มีหลายชาติพันธุ์ เหมือนกับรัฐฉาน ก็สามารถนำมาปรับใช้กันได้ แต่ใช้กับพม่าโดยรวมทั้งหมดไม่ได้ ซึ่งหลังจากนี้ก็ยังมีโอกาสที่จะเดินทางไปดูงานตามประเทศต่าง ๆ ที่มีเชิญมาอีก อย่างยุโรป ก็เปิดรับเรามากขึ้นแล้ว
ขณะที่ด้านการพัฒนาพื้นที่ “บนดอยไตแลง” นั้น นอกจาก พล.ท.เจ้ายอดศึก จะนำทัพปลูกกาแฟตามยอดดอยต่าง ๆ ในเขตปกครองของตนเองมากกว่า 80,000 ต้น ซึ่งเมื่อปี 58 ที่ผ่านมา กาแฟบางส่วนเริ่มให้ผลผลิต ได้เมล็ดกาแฟ ราว 600 กว่า กก.แล้ว
“ดอยไตแลง” วันนี้ เปลี่ยนแปลงไปจากไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก
นอกจากจะมีชาวไต หรือไทใหญ่ อพยพจากพื้นที่ตอนในของรัฐฉานเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่อพยพจากเดิมที่เรียกกันเป็น “ป๊อก” ปัจจุบันก็เทียบเป็น “ตำบล” ได้แล้ว มีการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนถาวรด้วยคอนกรีตมากขึ้น จากเดิมที่อาจจะมีแต่กระท่อม ถนนหนทางในหุบเขากลายเป็นถนนคอนกรีต นอกจากนี้ยังมีสถานีวิทยุเป็นของตัวเอง ระบบสาธารณูปโภค ก็เริ่มพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้มีการประเมินกันว่า ประชากรบนดอยไตแลง (ไม่รวมกำลังทหารของ RCSS) ปัจจุบันนี้ อาจจะมีมากถึงเรือนหมื่นแล้ว และดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ในกลุ่มผู้อพยพชาวไทใหญ่ ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นบนดอยไตแลงเหล่านี้ บางส่วนมุ่งหน้ามาเพื่อช่วยงานตามที่ตัวเองมีความถนัด บางคนมุ่งมั่นมาสมัครเป็นทหารไต เพื่อช่วยเพื่อนร่วมชาติพันธุ์ เพราะลำพังเงินเดือนทหารไทใหญ่ ที่อยู่ในหลักร้อย-หลักพัน ไม่ใช่เป้าหมายหลัก เนื่องจากถ้าข้ามพรมแดนเข้าไทย มาทำงานก่อสร้าง ก็มีรายได้มากกว่าเป็นทหารไทใหญ่ อยู่แล้ว
“ผู้จัดการ360”ได้สุ่มพูดคุยกับทหารไทใหญ่ ทั้งหนุ่ม และสาว ซึ่งบางคนมาจากลาเฉียว รัฐฉานตอนเหนือติดชายแดน สป.จีน - บางคนจบการศึกษาปริญญาตรี พูดได้ทั้งภาษาไต - ภาษาพม่า - ภาษาจีน - ภาษาอังกฤษ แต่ทุกคนบอกตรงกันว่า พวกเขามาเพื่อช่วยพี่น้องร่วมชาติ เพื่อให้พ้นจากความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจากสงคราม และการกดขี่เป็นหลัก
แน่นอน ณ ขณะนี้กล่าวได้ว่า มวลชนไทใหญ่ ตั้งความหวังที่จะได้ “เอกราช” เป็นของตนเองอย่างเต็มที่
แต่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า “เอกราชของชาวไต” ก็ยังคงมีปัจจัยอื่นเกี่ยวข้องอีกมากมาย โดยเฉพาะการเมืองในพม่า ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างน่าจับตาในขณะนี้