พิษณุโลก - เจ้าหน้าที่บังคับคดี พร้อมธนาคารเจ้าหนี้ ตามดูซากบ้านสาวใหญ่พรหมพิราม มูลค่ากว่า 23 ล้านที่อยู่ระหว่างขายทอดตลาด หลังถูกมิจฉาชีพจ้างคนรื้อขายเป็นของเก่าเกลี้ยง ด้าน ผกก.พรหมพิราม ลั่นออกหมายจับผู้บงการ-เดินหน้าเชือดยกหมู่
วันนี้ (23 ธ.ค.) พ.ต.อ.สมนึก มากมี ผกก.สภ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กล่าวว่า กำลังรวบรวมพยานและหลักฐานกรณีกลุ่มชายฉกรรจ์ใช้เอกสารที่อ้างว่าเป็นของกรมบังคับคดี จ้างคนงานเข้ารื้อบ้าน-โรงงาน นางนวลพร จินดาธรรม เลขที่ 113 หมู่ 3 บ้านทับยายเชียง ต.ทับยายเชียง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ที่อยู่ระหว่างประมูลขายทอดตลาด เพื่อดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาทั้ง 20 ราย แบ่งผู้กระทำความผิดออกเป็น 4 กลุ่ม และจะออกหมายจับนายกานศักดิ์ พันธะ อายุ 46 ปี ทันทีไม่ต้องรอหมายเรียก เพราะถือเป็นผู้บงการ
ผกก.สภ.พรหมพิรามกล่าวว่า คดีนี้เคยเกิดขึ้นในท้องที่อื่น มีพฤติการณ์ลักษณะเดียวกัน ส่วนกรมบังคับคดีจะแจ้งความต่อ สภ.พรหมพิราม ก็ถือว่าแจ้งความร่วมในคดีเดียวกัน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงทำงานต่อไป ซึ่งล่าสุดยังไม่เห็นว่ามีการแจ้งความของกรมบังคับคดี และนางนวลพรยังถือว่าเป็นผู้เสียหายหรือเจ้าของบ้านตัวจริง
“จะเร่งรัดคดีอย่างเร็วที่สุด เนื่องจากคดีอยู่ในความสนใจ และมูลค่าความเสียหายสูง กลุ่มผู้ต้องหาเคยก่อเหตุลักษณะนี้มาจากท้องที่อื่นมาก่อน คดีคงไม่ช้าแน่ โดยได้สั่งการ-วางกรอบเวลาไว้หมดแล้ว” ผกก.พรหมพิราม ระบุ
ขณะที่นางนวลพร จินดาธรรม อายุ 55 ปี เจ้าของบ้านหลังเกิดเหตุก็ขอให้กรมบังคับคดียุติการขายทอดตลาด งวดที่ 2 ตามกำหนดการเดิมที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ม.ค. 59 ที่จะถึงนี้ออกไปก่อน เพราะทางธนาคารฯ จะต้องประเมินราคาใหม่
ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดพิษณุโลก, ธนาคารกรุงไทย สาขาสิงหวัฒน์ (เจ้าหนี้) ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พรหมพิราม เข้าตรวจสอบทรัพย์สินอาคาร 12 หลังบนพื้นที่ขนาด 10 ไร่ ที่ถูกแก๊งมิจฉาชีพรื้อค้นทำลายทรัพย์สินดังกล่าวเมื่อบ่ายวานนี้ (22 ธ.ค.)
นายไพบูลย์ ดิสสงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า อธิบดีกรมบังคับคดี สั่งการให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยด่วน เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินที่อายัดไว้รอการขายทอดตลาดซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากทั่วประเทศ เพื่อเตรียมหามาตรการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก และเตือนประชาชนให้ระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่อาจจะเข้ามาอ้างสิทธิในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย
“ทุกครั้งเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีจะสวมชุดข้าราชการ และต้องถือหมายศาลตัวจริงเท่านั้น ไม่ใช้สำเนาเข้าบังคับคดี จึงขอให้ตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด หากเกิดข้อสงสัยให้สอบถามมาโดยตรง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นมาอีก”
ส่วนการลงพื้นที่ตรวจสอบครั้งนี้พบว่ามีการทำลายทรัพย์ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 187 ที่ระบุไว้ว่า “ผู้ใดเพื่อจะมิให้การเป็นไปตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาล ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ถูกยึดหรืออายัดหรือที่ตนรู้ว่าน่าจะถูกยึดหรืออายัด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี” ซึ่งสำนักงานบังคับคดีจังหวัดพิษณุโลกจะแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้ด้วย