พิษณุโลก - ตำรวจพรหมพิรามซุ่มจับได้เกือบยกแก๊ง หลังสาวใหญ่ชาวพรหมพิรามโร่ขึ้นโรงพักแจ้งความถูกมิจฉาชีพถือเอกสารบังคับคดี จ้างคนรื้อเอาทรัพย์สินบ้าน และอาคารโรงงาน มูลค่า 23 ล้านบาท ก่อนวันเปิดประมูลขายทอดตลาดจนเกลี้ยง บอกเข่าแทบทรุด โดนแกะไม่เว้นแม้แต่หินอ่อน โถส้วม อ่างล้างหน้า
วันนี้ (22 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวนวลพร จินดาธรรม อายุ 55 ปี ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนที่บ้านเลขที่ 113 หมู่ 3 บ้านทับยายเชียง ต.ทับยายเชียง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ริมถนนพิษณุโลก-อุตรดิตถ์ ว่า ถูกแก๊งมิจฉาชีพจ้างคนงานเข้ารื้อทั้งบ้าน และอาคารโรงงาน มูลค่า 23 ล้านบาท ที่ปิดไว้ระหว่างรอบังคับคดีประมูลทรัพย์สินขายไปทั้งหมด มีการรื้อทรัพย์สินจนเกลี้ยง ไม่เว้นแม้แกะหินอ่อน โถส้วม อ่างล้างหน้า สภาพบ้านเหลือแต่โครงสร้าง หรือซาก และกองวัสดุ วางกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
เบื้องต้นในที่เกิดเหตุพบว่าอาคารทุกหลังถูกรื้อกระเบื้องมุงหลังคา หลอดไฟ สายไฟ ปลั๊กไฟ ประตู หน้าต่าง สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ รวมถึงหินอ่อนที่ใช้ตกแต่งทุกอาคาร รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 8 ล้านบาท และล่าสุดมีร้านรับซื้อของเก่ามารอรับซื้อถึงที่บ้านด้วย
“เข่าแทบทรุดเมื่อเห็นสภาพบ้านที่สร้างไว้บนที่ดิน 10 ไร่ มูลค่า 23 ล้าน เหลือแต่ซาก” นางสาวนวลพรกล่าวทั้งน้ำตา
นางสาวนวลพรเล่าอีกว่า โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ตนได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีคนงานที่เข้ามารื้อบ้านและโรงงานได้ไปพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าขายของข้างเคียงว่าบ้านหลังนี้ได้ขายทอดตลาดแล้ว แต่ชาวบ้านก็ไม่เชื่อเนื่องจากทราบมาว่าจะประมูลขายทอดตลาดเพื่อชดใช้หนี้สินให้กับธนาคารกรุงไทย ในราคา 17 ล้านบาท ในวันที่ 18 ธันวาคม จึงโทรศัพท์เข้ามาบอก
จากนั้นตนจึงรีบเข้ามาตรวจสอบจากภายนอก ก็พบว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากกำลังรื้อบ้าน และโรงงานที่ตนเองสร้างขึ้นมาได้รับความเสียหาย เมื่อติดต่อสอบถามไปยังสำนักงานบังคับคดีจังหวัดพิษณุโลก และธนาคารกรุงไทย ก็ทราบว่าไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการ จึงเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงเย็นของวันที่ 18 ธันวาคม 2558
นางสาวนวลพรบอกว่า หลังแจ้งความตนได้ร่วมกับตำรวจวางแผนเข้าจับกุมกลุ่มผู้ที่ถือเอกสารปลอมที่ซุ่มจอดรถรอรับเงินค่าของเก่าทั้งหมดก่อนวันประมูลขายทอดตลาด พบว่าเป็นคนที่มาจากกรุงเทพมหานคร 4 คน ขณะที่กลุ่มคนรับงานรื้อถอนมาจากจังหวัดขอนแก่น 9 คน และคนรับซื้อของเก่า 7 คน รวมทั้งหมด 20 คน พร้อมของกลางเป็นทรัพย์สินบางส่วน ถังแก๊สพร้อมหัวเป่าจำนวนมาก รถยนต์และรถเก๋งหรูของหัวหน้าทีมรวม 5 คัน ซึ่งขณะนี้นำมาจอดอยู่หน้า สภ.พรหมพิราม
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พรหมพิรามเปิดเผยว่า จากพยานและหลักฐานเอกสารในที่เกิดเหตุทราบว่า นายกานศักดิ์ พันธะ อายุ 46 ปี และนายสาโรจน์ ประชากิจ ภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร พร้อมพวกอีก 3 คน ถือเอกสารที่มีลักษณะคล้ายกับหนังสือจากกรมบังคับคดี มาอ้างว่าตนเองเป็นผู้ประมูลทรัพย์สินได้ จึงว่าจ้างคนงานรื้อบ้านพร้อมโรงงาน ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยให้ค่าจ้างตามจำนวน เช่น เหล็กกิโลกรัมละ 2 บาท หินอ่อนแผ่นเล็ก แผ่นละ 3 บาท เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดว่าแก๊งมิจฉาชีพลงมือรื้อทรัพย์สินก่อนหน้านี้กว่า 1 สัปดาห์แล้ว จากนั้นติดต่อให้ร้านรับซื้อของเก่าในเขต อ.พรหมพิราม มารับซื้อทรัพย์สินที่รื้อถอนมาได้ทั้งหมด
โดยระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พรหมพิรามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 20 คน แต่นายกานศักดิ์ พันธะ หนีกลับกรุงเทพมหานครไปก่อน เหลือแต่นายสาโรจน์ ประชากิจ ที่ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางโทรัด อ.เมืองสมุทรสาคร ได้ขออายัดตัวเอาไว้ด้วย เนื่องจากได้ก่อเหตุด้วยพฤติการณ์เดียวกันในปี พ.ศ. 2556 ได้เข้าไปรื้อทรัพย์สินโรงงานที่กำลังรอขายทอดตลาด มูลค่าความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท ล่าสุดกำลังออกหมายจับผู้ที่หลบหนี และดำเนินคดีต่อผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด ซึ่งฝากขังอยู่ที่เรือนจำ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหา ร่วมกันลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อร่วมกันรับของโจร และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และรับซื้อของโจร
อย่างไรก็ตาม ทางกรมบังคับคดีได้แจ้งยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการรื้อถอนทรัพย์สินในบ้าน โรงงานดังกล่าวที่กำลังอยู่ระหว่างการประมูลขายทอดตลาดแต่อย่างใด