ศรีสะเกษ - นายอำเภอน้ำเกลี้ยง ร่ำไห้ประกาศลาออก ยืนยันไม่ได้ข่มขืนสาวเลขาฯ หน้าห้อง ด้านพ่อผู้เสียหายยืนยันดำเนินคดีจนถึงที่สุด พร้อมหอบลูกสาวหลบอยู่ที่อื่นเพื่อความปลอดภัย ขณะที่ ผกก.สภ.น้ำเกลี้ยง ตั้ง 4 ข้อหาหนัก เร่งรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดี โดยพร้อมจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
จากกรณีที่ น.ส.หนู (นามสมมติ) ลูกจ้างชั่วคราว ปฏิบัติหน้าที่เลขาหน้าห้องทำงาน ร.ท.ปรินชัย สอนซื่อ นายอำเภอน้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.น้ำเกลี้ยง ว่าถูกนายอำเภอน้ำเกลี้ยงข่มขืนที่บ้านพักนายอำเภอเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 58 ที่ผ่านมา และเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 58 นายอำเภอบุกไปหาที่บ้านพักส่วนตัวที่บ้านทุ่งสว่าง ต.ละเอาะ อ.น้ำเกลี้ยง ในยามวิกาล ตบหน้าทำร้ายร่างกายต่อหน้าญาติพี่น้องที่เห็นเหตุการณ์หลายคนซึ่งพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความไว้แล้ว พร้อมทั้งได้ไปร้องทุกข์ต่อนายยุทธนา วิริยะกิตติ ผวจ.ศรีสะเกษ ที่ได้มีการสั่งตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง และล่าสุดอธิบดีกรมการปกครองได้สั่งให้นายอำเภอน้ำเกลี้ยงไปช่วยราชการที่กองการเจ้าหน้าที่ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยให้เดินทางไปในวันที่ 18 ธ.ค. 58 ตามข่าวที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (18 ธ.ค.) ที่ว่าการอำเภอน้ำเกลี้ยง บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา มีข้าราชการมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ บางส่วนได้มีการจับกลุ่มคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะที่ห้องทำงานของนายอำเภอได้ปิดเงียบ ส่วน น.ส.หนูทราบว่าได้ลาพักไปนับตั้งแต่มีเรื่องเกิดขึ้น
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ไปพบกับ ร.ท.ปรินชัย สอนซื่อ นายอำเภอน้ำเกลี้ยง ที่บ้านพักนายอำเภอ ด้านหลังที่ว่าการอำเภอ พบ ร.ท.ปรินชัยอยู่ภายในบ้าน โดยมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจในบ้านพัก โดย ร.ท.ปรินชัยกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด วันที่เกิดเหตุวันที่ 10 ธ.ค. หากว่าตนข่มขืน น.ส.หนูจริงก็จะต้องไปแจ้งความตั้งแต่วันนั้นแล้ว และเมื่อตนทราบข่าวว่ามีการไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ตนในฐานะนักปกครองก็จะเข้าไปเจรจาประนีประนอมแต่กลับโดนกลุ่มญาติพี่น้องเข้ามารุมล้อม โชคดีที่มีชายสูงอายุคนหนึ่งมาดันตัวของตนออกมาได้
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าไม่ได้ข่มขืน น.ส.หนู และไม่ได้ทำร้ายร่างกาย น.ส.หนูแต่อย่างใด เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาโดยตนไม่ได้รับความเป็นธรรม จะขอลาออกจากราชการ และจะไม่ไปรายงานตัวที่กรมการปกครอง โดยจะส่งหนังสือลาออกไปให้อธิบดีกรมการปกครองในวันนี้ จากนั้นจะไปบวช และพร้อมที่จะต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยได้จ้างทนายความเอาไว้แล้ว 2 คน เพื่อต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ขอให้ความเป็นธรรมกับตนในเรื่องนี้ด้วย
ขณะนี้ตนได้ร่วมกับเจ้าคณะอำเภอน้ำเกลี้ยงและประชาชนชาว อ.น้ำเกลี้ยง เตรียมการที่จะทำการก่อสร้างศาลหลักเมืองอำเภอน้ำเกลี้ยง และจะสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 5 โดยจะใช้เงิน 5 ล้านบาท และได้รวบรวมเงินไว้แล้ว แต่ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นทำให้ตนเสียกำลังใจเป็นอย่างมาก และเจ้าคณะอำเภอน้ำเกลี้ยงก็ไม่อยากที่จะสานต่อโครงการนี้ต่อไปแล้ว ซึ่งในช่วงนี้ได้มีการถมดินสนามหน้าที่ว่าการอำเภอน้ำเกลี้ยง เพื่อเตรียมปรับปรุงภูมิทัศน์ และจัดเตรียมสถานที่เพื่อสร้างดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งหากว่าตนมีโอกาสก็ต้องการที่จะทำงานอยู่ที่อำเภอน้ำเกลี้ยงต่อไป เพื่อพัฒนาอำเภอน้ำเกลี้ยงให้เจริญรุดหน้าไปยิ่งกว่าเดิม
ทางด้านนายอ้าย บัวศรี พ่อของผู้เสียหายได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ตนจะขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีเรื่องนี้จนถึงที่สุด และขณะนี้ตนได้นำตัวลูกสาวของตนไปอยู่ที่อื่นแล้วเพื่อความปลอดภัย และหากว่ามีการมาประนีประนอมเพื่อยอมความกันก็จะปรึกษาหารือกันกับญาติพี่น้องว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับลูกสาวที่สูญเสียไปในครั้งนี้จะต้องเหมาะสมกับศักดิ์ศรีของความเป็นลูกผู้หญิงที่ถูกข่มเหงรังแกอย่างรุนแรงแบบนี้
พ.ต.อ.กฤษฎา ชัยสิทธิ์ ผกก.สภ.น้ำเกลี้ยง กล่าวว่า เรื่องนี้ตนได้รายงานให้ พล.ต.ต.สุรเดช เด่นธรรม ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ ทราบแล้ว โดยขณะนี้กำลังเร่งสอบสวนพยานและรวบรวมหลักฐานซึ่งได้สอบปากคำไปได้ 3 ปากแล้ว และได้ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เบื้องต้นได้ตั้งข้อหา 4 ข้อหา คือ ข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้าย กระทำอนาจาร ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย บุกรุกเข้าไปในเคหสถานโดยไม่มีเหตุอันควรในเวลากลางคืน โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และกำลังรอใบรายงานชันสูตรจากแพทย์ รพ.น้ำเกลี้ยง เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดีดำเนินการตามกฎหมาย จากนั้นจะได้ออกหมายเรียกแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งตนพร้อมให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายเต็มที่