เชียงใหม่ - สะพัดผู้ว่าฯ ย้ำกลางวง คืน “ลานข่วงท่าแพ” ให้คนเชียงใหม่ ฉลอง 720 ปี หลังถูกจัดสรรให้เช่าตั้งแผงขายของทั้งปีทั้งชาติ จนวิจารณ์กันกระหื่มเมือง ขณะที่สื่ออาสาฯ จุดประกายทวงที่ธรณีสงฆ์ “บันไดพญานาควัดพระธาตุดอยสุเทพ” ต่อ เผยเคยบิณฑบาตขอคืนพื้นที่สงฆ์แล้ว แต่ไม่ได้
หลังมีกระแสเรียกร้องทวงคืน “ลานข่วงท่าแพ” แลนด์มาร์กสำคัญของเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งมีการตั้งกระทู้ “กู้ศักดิ์ศรีเชียงใหม่คืนพื้นที่ลานข่วงท่าแพ” ในเฟซบุ๊ก “Raks Mae Ping” เพื่อถามหาความรับผิดชอบจากเทศบาลนครเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการดูแลพื้นที่ข่วงประตูท่าแพ ซึ่ง “ผู้จัดการ 360” ได้นำเสนอข่าวพร้อมคลิป (คนเชียงใหม่แห่ทวงคืน “ข่วงท่าแพ” วิจารณ์ตรึมโดนยึดให้เช่าขายของทั้งปีทั้งชาติ) นั้น
ต่อมา ระหว่างการประชุมหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดเชียงใหม่ ที่มี นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ เป็นประธานฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งระหว่างที่ นายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ชี้แจงเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ลานข่วงท่าแพ ทำนองว่า กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุง ส่วนราชการ องค์กรการกุศลต่างๆ ที่มีแผนใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรม อาจต้องสำรองสถานที่อื่นไว้ พร้อมปฏิเสธด้วยว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเรียกเก็บค่าเช่าพื้นที่เพื่อขายของด้วยนั้น
ว่ากันว่า ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ สรุปกลางวงว่า “ไม่ต้องสำรอง หาที่ใหม่เลย เพราะจะทำเพื่อฉลอง 720 ปี (เชียงใหม่)”
นอกจากนี้ นายปวิณ ยังกล่าวย้ำต่อตัวแทน “Raks Mae Ping” ด้วยว่า ลานข่วงท่าแพ เป็นของคนเชียงใหม่ และจะเป็นแลนด์มาร์กของเชียงใหม่ตลอดไป
และล่าสุด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ และการอนุรักษ์เมืองเก่าขึ้นอีก ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ “ข่วงประตูท่าแพ” จึงประกาศงดที่จะอนุญาตให้มีการใช้พื้นที่ดังกล่าว เริ่มตั้งแต่หลังจากที่เสร็จสิ้นการจัดงานประเพณียี่เป็งปี 2558 นี้เป็นต้นไป จนกระทั่งถึงการจัดงานเฉลิมฉลองเมืองเชียงใหม่อายุครบ 720 ปี จึงจะมีการพิจารณาอีกครั้ง
ส่วนของการจัดงานถนนคนเดินวันอาทิตย์ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกสัปดาห์ และมีการใช้พื้นที่ข่วงประตูท่าแพด้วยนั้น เบื้องต้น ยังคงให้จัดงานได้ตามเดิม แต่จะมีการพิจารณาให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องต่อการเฉลิมฉลองเมืองเชียงใหม่อายุครบ 720 ปี และอนุรักษ์เมืองเก่าด้วย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สื่ออาสา “Raks Mae Ping” และเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ชุมชนคนล้านนา” ได้เริ่มจุดประกายทวงคืน “บันไดพญานาค ทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ” พื้นที่ธรณีสงฆ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ ด้วยการโพสต์ภาพเชิงบันไดวัดที่เต็มไปด้วยแผงลอยร้านค้า และร่มกันแดด จนมองแทบไม่เห็นทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ พร้อมข้อความ “ทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ ... อยู่หนายยย?” ติดแฮตแทค เทศบาลตำบลสุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่
จนกลายเป็นเรื่องที่กำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วทั้งเชียงใหม่ รวมถึงพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้
เมื่อผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า บริเวณโซนซ้ายมือบันไดทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ มีแผงลอยร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่บนฟุตปาธทางเดินริมถนนมากกว่า 50 ร้าน ขณะที่บริเวณเชิงบันไดพญานาค ก็มีแผงลอยของพ่อค้าแม่ขายตั้งระเกะระกะ พร้อมร่มผ้าใบหลากสีสันกางบดบังบันไดพญานาคมากกว่า 60 ราย
พื้นที่ดังกล่าวจากตรวจสอบเป็นธรณีสงฆ์ โดยมีขายสินค้าตั้งแต่กระเป๋าผ้าสินค้าชาวเขา ตลอดจนผลไม้อาหารเครื่องดื่มไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำเด็กชาวเขาเผ่าม้งตัวเล็กๆ อายุไม่น่าจะเกิน 3 ขวบ กับเด็กโต 10 ขวบ สวมชุดชาวเขามาดักรอถ่ายภาพกับนักท่องเที่ยวเพื่อเก็บเงินด้วย
ว่ากันว่าหากจะมาตั้งร้านขายของบริเวณนี้ต้องรอผู้เช่ารายเก่าออกก่อน แล้วเซ้งต่อเป็นรายปี และจ่ายเป็นรายเดือนด้วย ถึงจะเข้ามาขายของได้
แต่จากการสอบถามเจ้าหน้าที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ ทราบว่า ผู้ค้าที่นำของมาตั้งขายบริเวณทางเดินหน้าบันไดนาค เป็นกลุ่มผู้ค้าในลานด้านซ้ายของบันไดที่ทางวัดจัดโซนนิ่งไว้ให้ โดยขยับเข้ามาจับจองกันเองมากว่า 10 ปี ตั้งแต่จังหวัดเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพจัดงานพืชสวนโลก 2549
ก่อนหน้านี้ พระเทพวรสิทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพ ก็เคยไปบิณฑบาตขอพื้นที่ดังกล่าวคืนให้แก่ทางสงฆ์ รวมทั้งมีความพยายามจัดระเบียบพื้นที่เมื่อปี 56 ที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความสวยงามเป็นระเบียบตาแก่พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากราบไหว้นมัสการที่วัด แต่ก็ยังคงมีตั้งร้านขายของกันเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ โดยทางวัดไม่ได้เรียกเก็บเงินค่าเช่าพื้นที่แต่อย่างใด