ตราด - “ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ” บอกไทยหมดยุคความขัดแย้ง จี้ปรับความคิด กรอ.ใหม่ ระบุตราดต้องคิดภาพรวม หนุนกรีนชิตี้ ระบุทั่วโลกหันมาให้ความสนใจ
เวทีสัมมนา “การเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาเซียนของเอสเอ็มอีเชื่อมโยงเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด” โดยหอการค้า จ.ตราด จัดขึ้นในวันนี้ (11 ต.ค.) ที่โรงแรมบ้านปูรีสอร์ท แอนด์ สปา อ.เมือง จ.ตราด ที่ได้เชิญ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน มาบรรยายพิเศษในหัวข้อ “โอกาสและความท้าทายของการเข้าสู่อาเซียนของเอสเอ็มอี”
โดยก่อนการบรรยาย นายวิเชียร ทรัพย์เจริญ นายก อบจ.ตราด ได้กล่าวต้อนรับว่า ในอดีตต้องยอมรับว่า ตราดอยู่ไกลสุดของประเทศ และการเดินทางมาลำบาก ชายแดนก็ไม่สงบ ทำให้ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และมักเรียกจังหวัดในภาคตะวันออกเริ่มจากระยอง จันทบุรี และตราด ซึ่งตราดเหมือนอยู่แนวหลัง แต่สถานการณ์วันนี้ตราดกลายเป็นเหมือนกองหน้า เพราะกลับกลายเป็นว่า ตราด จันทบุรี และระยองไปแล้ว
ดังนั้น การที่ จ.ตราด มาเล่นบทกองหน้าที่ต้องเดินไปสู่การค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ทำให้ต้องมีโค้ชที่ดีในการนำทาง ซึ่ง ดร.สุรินทร์ ถือว่าเป็นผู้ที่มีความเหมาะเพราะเป็นถึงเลขาอาเซียน มีความรอบรู้เกี่ยวอาเซียน และต่างประเทศมากมาย ซึ่งชาวตราดจะได้ประโยชน์สูงสุด
ดร.สุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ทุกประเทศเปลี่ยนไป เพราะความเป็นอาเซียนที่จะไม่สามารถจะปิดกั้นด้วยรั้วประเทศได้อีกต่อไป ซึ่งบทบาทของศุลกากรจะเริ่มหมดไป เพราะทุกประเทศจะเป็นเมืองที่ไม่มีภาษีระหว่างกัน การค้าขายกันจะไม่มีรั้วกันกันอีกแล้ว เมื่อสมัยก่อนเศรษฐกิจของโลกเจริญอยู่ที่อเมริกา และยุโรป
แต่สถาการณ์ในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะการประชุมอาเซมครั้งล่าสุด บอกว่า เอเชียกำลังเจริญที่สุด และจีนเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสราิงความเติบโตให้โลก หากจีนเศรษฐกิจไม่เติบโตโลกก็จะประสบปัญหาไปด้วย ซึ่งกลไกสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนก็คือ กลุ่มประเทศในอาเซียนที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 1 ใน 4 ของโลก แต่อาเซียนเองยังมุ่งค้าขายกับประเทศในยุโรป อเมริกา จีน หรือญี่ปุ่นเป็นหลัก และมีมูลค่าค้าขายภายใน 10 ประเทศอาเซียนไม่มากนัก จึงต้องหันมาค้าขายมากขึ้นเพื่อไม่ต้องพึ่งพาประเทศนอกอาเซียนมากนัก
“เราจะทำให้อาเซียนค้าขายได้มากขึ้น เป็นตลาดใหญ่ขึ้น ค้ากันแค่ 25 เปอร์เซ็นต์เพื่อทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ซึ่งตัวเลขนี้จะไม่เป็น 40 เปอร์เซ็นต์หากเอสเอ็มอีไม่มีค้าขาย ไม่เดินทางไปค้าขายระหว่างกัน และการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นรัฐบาลต้องการใช้พื้นที่ตั้งเป็นจุดได้เปรียบ จ.ตราด มีข้อดีในเรื่องการกระจายความร่ำรวย เป็นการรวยกระจาย ตราดน่าจะเป็นโมเดลที่ดีให้รัฐบาลนำไปเป็นต้นแบบ รวยไม่ต่างกัน รวยจนไม่ห่างกันมากนัก หรือมีความเท่าเทียมกันสูง เราน่าจะใช้ความเกื้อหนุนระหว่างกัน สิ่งที่มีประโยชน์”
“อีกทั้งการตั้งยุทธศาสตร์เป็นกรีนซิตี้ ไม่เหมือนจังหวัดที่พัฒนาแล้วแต่มาทำลายคุณค่าของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่ จ.ตราดได้คิดยังทันสมัย เพราะทั่วโลกพูดกันเรื่องนี้การพัฒนาโลกวันนี้ทุกประเทศ”
ดร.สุรินทร์ ยังบอกอีกว่า เมื่อก่อนนี้เราตั้ง กรอ.ในยุค พล.อ.เปรม เพื่อสนับสนุนในเรื่องการผลักดันให้เข้ามาลงทุนในประเทศ แต่วันนี้แนวคิดในเรื่องนี้ต้องปรับไปสนับสนุนในเรื่องการหาตลาด การสนับสนุนในเรื่องข้อมูลด้านการตลาด และเรื่องทุน เพราะเอสเอ็มอีมีประสบการณ์ สินค้าน้อย เราจึงหนุน กรอ.จึงต้องปรับทิศทางใหม่ คือ มีกองทุนพิเศษ ดอกต่ำ ให้ออกไปที่ต่างประเทศ และไม่ให้ไปคนเดียว ไม่ได้จะใช้เงินทุนตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีเงินทุนในการศึกษา และทำตลาด ซึ่งพาณิชย์จังหวัด ธนาคารต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ให้ ประเทศญี่ปุ่นตั้งเจโทร ขึ้นมาเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้
สุดท้าย ดร.สุรินทร์ ยังทิ้งท้ายไว้ว่า เชื่อว่าท่านผู้ว่าราชการ จ.ตราด คนใหม่ ท่านรองผู้ว่าฯ คนใหม่ที่เป็นลูกศิษย์จะมีตรงไปตรงมา และจะเพิ่มให้ จ.ตราด น่าเที่ยว น่าชม และเพิมเสน่ห์ของ จ.ตราด จะได้คุ้มครองสนับสนุน และเพิ่มการต่อรองใน จ.ตราด และจะเป็นกองหน้าอย่างนายก อบจ.ตราด ต้องการ เรายังมีโอกาส
ทั้งนี้ อาเซียนกำลังพยายามเพิ่มการร่วมกลุ่มเป็น บวก 3 ซึ่งจะมีมูลค่าเศรษฐกิจถึงครึ่งของโลกอยู่ที่นี่ ตราดจะครองตัวอย่างไร ตราดจะกำหนดจุดยืน และความพร้อมทั้งธุรกิจ การศึกษา การเชื่อมโยง รอยต่อต้องทำได้ดีกว่านี้ เชื่อมและเคลื่อนไหวมากกว่านี้ จ.ตราด จะเป็นกองหน้าอย่างแท้จริง
ด้าน นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการ จ.ตราด บอกว่า จ.ตราด มีความพร้อมในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศรษฐกิจ แต่ยังมีปัญหาบางเรื่อง ซึ่งวันนี้พื้นที่ตั้งของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ ต.ไม้รูด ยังมีปัญหาบ้างคือ บริเวณหาดไพลิน ที่เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ 880 ไร่ ซึ่งจะทำนิคมอุตสาหกรรมด้านลอจิสติกส และด้านการบริการนั้นมีบ่อขยะตั้งอยู่ และยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ซึ่งทางองค์กรปกครองท้องถิ่นในอำเภอคลองใหญ่ อยู่ระหว่างการแก้ปัญหาอยู่
ทั้งนี้ จะต้องดำเนินการกำจัดขยะเหล่านี้ออกไปให้ทั้งหมด เพื่อหาสถานที่ทิ้งแห่งใหม่ และนำพื้นที่ทิ้งขยะมาใช้ในการพัฒนา และต้องทำให้เกิดสุขลักษณะด้วยซึ่งน่าจะใช้เวลาไม่มากนัก
“ส่วนเรื่องการบุกรุกที่ดินในพื้นที่นั้น ทราบว่า ก่อนหน้าที่มีการประกาศไม่มีการบุกรุก แต่เมื่อมีการประกาศเป็นพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว พบว่า มีผู้บุกรุก 2 ราย ซึ่งปลูกต้นยูคาลิปตัส 25 ไร่ ได้มอบให้ทางนายอำเภอคลองใหญ่ดำเนินการ แลรู้แล้วว่าเป็นใคร และจะเรียกมาเจรจาให้ออกไป สำหรับการเวนคืนที่ดินบางส่วนที่บริเวณทางเข้าท่าเทียบเรือคลองใหญ่ ที่ยังไม่ยินยอมออกไป และเหลือเพียงรายเดียวนั้น อยู่ระหว่างการเจรจา และต้องเห็นใจเจ้าของที่ดินเช่นกัน และน่าจะเจรจากันได้”