ศูนย์ข่าวศรีราชา - 79.37% เห็นชอบแนวทางที่ 5 โครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบเพื่อเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียน รอบ 2 ด้านนักวิชาการเผยพื้นที่โครงการทับซ้อนจัดการปรับภูมิทัศน์หาดจอมเทียนของเมืองพัทยา จำต้องปรับลดรูปแบบใหม่ ระบุแนวทางการทิ้งหินลงทะเลโครงการของเมืองพัทยา หากไม่มีแผนการถมทรายจะส่งผลกระทบต่อปัญหากัดเซาะชายหาดแน่นอน
วันนี้ (23 ก.ย.) ที่สถานอบรมคริสเตียนแบ๊บติส พัทยา จ.ชลบุรี เมืองพัทยา ร่วมกับกรมเจ้าท่าจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นการประชาสัมพันธ์โครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบเพื่อเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี ครั้งที่ 2 หลังจากดำเนินการเก็บข้อมูลผลได้ผลเสีย และผลกระทบต่อกลุ่มย่อยมาแล้ว โดยมี นายชาคร กัญจนวัตตะ นายอำเภอบางละมุง เป็นประธานในพิธีเปิด และนายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา พร้อมคณะผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัยทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้ดำเนินโครงการให้การต้อนรับ ท่ามกลางประชาชน ผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
ด้าน รศ.ธนวัฒน์ จารุวงศ์สกุล หัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า โครงการนี้ถือว่ามีความจำเป็น และมีความต่อเนื่องมาจากการวางแผนแม่บทเสริมทรายชายหาดพัทยา เนื่องจากการตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการพบว่า ชายหาดจอมเทียนตลอดแนวในระยะทางยาวรวมกว่า 14 กม. มีปัญหาการกัดเซาะรุนแรงเช่นกัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากเรื่องการปรับเปลี่ยนของกระแสคลื่น และลมมรสุม
รวมทั้งปัญหาเรื่องของโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ตะกอนทรายถูกกระแสน้ำพัดออกจากชายฝั่งอย่างรุนแรง ซึ่งมีค่าความสูญเสียอยู่ที่ปีละกว่า 80,000 ลบ.ม. โดยสถานการณ์นี้หากปล่อยไว้ในระยะ 25 ปี ก็จะทำให้ชายหาดหายไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างรุนแรงในอนาคต
จากปัจจัยดังกล่าวกรมเจ้าท่าจึงได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาทำการศึกษา และวางแผนแม่บทในการแก้ไขปัญหาด้วยการเสริมทรายชายหาดขึ้น ซึ่งก็ได้มีการจัดทำมาแล้วระยะหนึ่ง ก่อนจะมีการหารือร่วมกับภาคประชาชนเพื่อขอรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเพื่อจัดทำแผนอย่างสมบูรณ์ และดำเนินการอย่างเร่งด่วนในเร็ววันนี้
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาทางคณะผู้จัดทำได้ร่างแนวทางป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งหาดจอมเทียนไว้จำนวน 6 แนวทาง ซึ่งทั้ง 5 แนวทางจะมีการเสริมทรายบนพื้นที่ชายหาดออกไปในระยะ 35 เมตร เพียงแต่จะแตกต่างกันเรื่องของโครงสร้างที่จะมีทั้งในส่วนของการก่อสร้างแนวกันคลื่น การก่อสร้างหัวหาด การก่อสร้างคันดักทราย หรือสวนสาธารณะ เป็นต้น ขณะที่แนวทางที่ 6 นั้น เป็นแนวทางที่จะไม่ดำเนินกิจกรรมใดๆ เลย
โดยล่าสุด จากการสอบถามความคิดเห็น และการสนับสนุนจากภาคประชาชนในพื้นที่ในวันนี้นั้น พบว่า ร้อยละ 79.37 เห็นชอบให้มีการดำเนินการในรูปแบบที่ 5 ซึ่งนอกจากจะมีการเสริมทรายในระยะ 35 เมตรแล้ว ยังจะมีการสร้างเขื่อนกันคลื่น จำนวน 3 จุด คันดักทราย จำนวน 4 จุด และทำลานสวนสาธารณะในพื้น ที่ 32 ไร่ ในช่วงระหว่างซอย 19 จอมเทียน ถึงร้านลุงไสว เขตตำบลนาจอมเทียน รวมระยะทางกว่า 2.5 กม.
ส่วนพื้นที่ที่เหลือระหว่างซอย 19 ถึงเขตปลอดดงตาลระยะทางกว่า 12 กม.นั้น จะทำการถมทรายเพียงอย่างเดียว ซึ่งโครงการนี้จะใช้งบประมาณดำเนินการ จำนวน 1,040 ล้านบาท ในระยะเวลา 2 ปี 3 เดือน โดยหลังจากมีการลงมติแล้วทางคณะผู้จัดจะได้นำข้อมูลที่ได้กลับไปทำร่างแผนแม่บท ก่อนนำรูปแบบมาเสนอต่อสาธารณะอีกครั้ง
รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบแผนพัฒนาในโครงการปรับภูมิทัศน์ชายหาดจอมเทียนที่เมืองพัทยากำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันนั้น พบว่า มีพื้นที่การจัดทำทับซ้อนกับโครงการวางแผนแม่บทการเสริมทรายชายหาดของกรมเจ้าท่า จึงทำให้แนวทางเลือกที่ระบุไว้นั้นจำเป็นต้องมีการปรับลดพื้นที่การจัดทำใหม่ และรายละเอียดหน้างานบางส่วนใหม่อีกครั้งเพื่อลดความสิ้นเปลืองในเรื่องของงบประมาณ ซึ่งเบื้องต้น จะมีการปรับลดพื้นที่จากเดิมในระยะ 2.5 กม. ให้เหลือเพียง 1.6 กม.ซึ่งจะทำให้งบประมาณลดลงเหลือ 700 กว่าล้านบาทเท่านั้น
โดยหากมีผลสรุปได้ และจัดทำแล้วเสร็จเชื่อว่าจะแก้ปัญหาการกัดเซาะได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับกรณีการเสริมทรายชายหาดนั้น มีข้อวิตกกังวลเกี่ยวกับกรณีของการจัดหาแหล่งทรายที่จะนำมาใช้ในการเสริม ซึ่งกรณีนี้ทางคณะผู้จัดทำได้ทำการออกหาข้อมูล และแหล่งทรายอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการรองรับในเสริมทรายได้ในระยะหลายสิบปีจึงถือเป็นโครงการพัฒนาที่มีความยั่งยืน
แต่สิ่งที่น่าจะต้องตรวจสอบเพื่อให้มีความรอบคอบในการป้องกันการกัดเซาะนั้น น่าจะเป็นกรณีของโครงการปรับภูมิทัศน์ชายหาดจอมเทียนในปัจจุบันของเมืองพัทยามากกว่า เนื่องจากทราบว่า จะมีการนำหินขนาดใหญ่มาทิ้งลงทะเลบริเวณหน้าอ่าวจอมเทียนช่วงบริเวณปากซอย 14 ถึง 19 เพื่อทำแนวกันคลื่น ซึ่งกรณีนี้หากไม่มีการเสริมทรายมากลบทับไว้ก็จะส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายหาดจอมเทียนอย่างแน่นอน เหมือนพื้นที่ของชายหาดวอนนภา บางแสน ที่ประสบปัญหาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเมืองพัทยาควรจะลองหาข้อมูลดูด้วยเช่นกัน