พระนครศรีอยุธยา - อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ลงพื้นที่พระนครศรีอยุธยา เป็นประธานเปิดงานวันอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำคูคลองแห่งชาติ “เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา มหาราชินี แม่ของแผ่นดิน”
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (22 ก.ย.) ที่วัดกุฎีทอง ต.พิตเพียน อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยาการน้ำ เดินทางเป็นประธานเปิดงานวันอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำคูคลองแห่งชาติ “เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา มหาราชินี แม่ของแผ่นดิน” โดยมี นางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) พระนครศรีอยุธยา กล่าวให้การต้อนรับ พร้อมด้วยนายอำเภอมหาราช หัวหน้าส่วนราชการ ทั้งภาครัฐ และเอกชน พี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมกว่า 1,000 คน
ทั้งนี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยาการน้ำ ยังมอบกล้าไม้ให้แก่ผู้นำชุมชน หัวหน้าส่วนราชการ และยังร่วมปลูกต้นไม้ ปล่อยพันธุ์ปลา จำนวน 100,000 ตัว เนื่องในวันอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำคูคลองแห่งชาติ “เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา มหาราชินี แม่ของแผ่นดิน” โดยวันนี้เป็นวันสำคัญที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จประพาสทางชลมารคเพื่อตรวจคลองแสนแสบ และเยี่ยมพี่น้องประชาชนสองฝั่งคลองเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2537 และเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ จึงกำหนดวันที่ 20 กันยายนของทุกปีเป็นวันอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำคูคลองแห่งชาติ
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยาการน้ำ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมนี้ขึ้นเพื่อต้องการกระตุ้นพี่น้องประชาชนได้เข้าใจ และรับรู้สถานการณ์เรื่องน้ำมีปัญหา โดยเฉพาะการดูแลแม่น้ำคูคลอง จำเป็นจะต้องใช้ความร่วมมือของประชาชนในการมีส่วนร่วมฝากถึงพี่น้องประชาชน ซึ่งท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรได้กำชับ 1.ต้องมีการสร้างจิตสำนึกให้แก่พี่น้องประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ ประชาชน ต้องช่วยกันมีสำนึกในการดูแลสิ่งแวดล้อม
2.เรื่ององค์ความรู้ เราต้องเพิ่มความรู้ทั้งหน่วยงาน และภาคประชาชนให้เข้าใจเรื่องต่างๆ เหล่านี้ และ 3.เรื่องการบังคับใช้กฎหมายในการปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำคูคลอง ขอฝากให้พี่น้องประชาชนช่วยเหลือกัน
อธิบดีกรมทรัพยาการน้ำ ยังกล่าวถึงสถานการณ์น้ำในปัจจุบันว่า จากสถานการณ์น้ำในขณะนี้มีการรายงานเข้ามายังทรัพยากรแห่งชาติ ถึงแม้ว่าจะมีพายุหว่ามก๋อ เข้ามาจากการประเมินการทั่วทั้งประเทศพบว่า มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 5-10% น้ำในชลประทานก็เพิ่มขึ้น น้ำนอกเขตที่ทางรัฐบาลให้งบประมาณมาทำก็พบว่าเพิ่มขึ้น 600 กว่าล้านลูกบาศก์เมตรจากทั่วประเทศก็เป็นสิ่งที่น่ายินดี
แต่ภาพเบื้องต้นถ้านำน้ำทั้งหมดมาใช้ในภาคการเกษตรก็ยังถือว่าอยู่ในสภาวะน่าเป็นห่วงก็ต้องขอความร่วมมือประชาชนต้องช่วยกันในการประหยัดน้ำ และใช้น้ำกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอันนี้ทางรัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะทำมาตรการต่างๆ เพื่อไปช่วยประชาชนที่เกิดวิกฤตในการใช้ทรัพยากรน้ำโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง และลุ่มน้ำแม่กลอง ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้น้ำจากระบบชลประทาน แต่ว่าปริมาณน้ำในเขื่อนที่มีอยู่ก็คาดว่าจะน้อยอาจมีปัญหาในการส่งน้ำให้ประชาชนภาคการเกษตร
ส่วนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงแม้จะเป็นพื้นที่ราบลุ่มอยู๋ในเขตชลประทานเกือบทั้งหมด ท่านยกรัฐมนตรีเองก็ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาในเรื่องของน้ำทั้งในเขต และนอกเขต ถึงแม้ในเขตจะมีชลประทานแต่ว่าที่ผ่านมาก็เกิดปัญหาเรื่องฝนทิ้งช่วงทำให้เกิดปัญหา เราได้ลงพื้นที่ และได้เติมเต็มในส่วนของโครงการต่างๆ เช่น ขุดลอกแก้มลิง ซึ่งมีหลายโครงการพบว่าตอนนี้น้ำเต็มทั้งหมดแล้ว และถ้าอีก 1 เดือนข้างหน้าฝนไม่ตกลงมาเราก็นำน้ำจากตรงนี้เพื่อไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้
“แม้ในช่วงนี้มีฝนตกลงมาพี่น้องประชาชนบางส่วนเห็นว่ามีน้ำ จะเร่งทำนา แต่ด้วยชลประทานก็ได้มีการประกาศแล้วให้หยุดไปก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายถ้าเข้าสู่หน้าแล้ง และน้ำไม่มี ก็ต้องขอเรียนประชาชนว่าเรื่องของการเพาะปลูกเข้าใจพี่น้องประชาชนดี ท่านเห็นฝนมาท่านก็ปลูก ที่จริงแล้วท่านต้องฟังการประกาศของกระทรวงเกษตร ว่าช่วงไหนปลูกได้ไม่ได้ เพราะถ้าปลูกไปแล้วเกิดไม่มีน้ำมา น้ำไม่พอ ก็อาจจะเป็นปัญหา เพราะฉนั้นขอร้องให้ประชาชนปฏิบัติตามราชการให้การแนะนำไว้ เพราะเรื่องของน้ำเป็นเรื่องที่จำเป็นและเราใช้ในทุกด้านไม่ใช้แค่ด้านการเกษตร จึงขอให้พี่น้องประชาชนช่วยกันฟังคำแนะนำ เชื่อมั่นว่าสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต้องดีขึ้น”