อ่างทอง - แก๊งปาหินอ่างทองโผล่อาละวาดอีก คืนเดียวปาหินใส่รถยนต์บนถนนสายเอเชีย 2 คันรวด ตำรวจเร่งควานหาตัวมาดำเนินคดี
เมื่อเวลา 21.00 น.คืนวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.จตุพล เทสินทโชติ ร้อยเวร สภ.เมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง ได้รับแจ้งเหตุมีคนร้ายใช้หินปาใส่รถยนต์ได้รับความเสียหายที่บริเวณริมถนนสายเอเชีย ขาเข้ากรุงเทพฯ หมู่ 5 ตำบลบ้านอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง โดยมีผู้เสียหาย 2 ราย รายแรกคือ นายกำพล กลิ่นคง อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33/4 หมู่ 2 ตำบลบ้านขวาง อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเจ้าของรถโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ หมายเลขทะเบียน กง 8540 อ่างทอง กระจกบริเวณด้านซ้ายเบาะหลัง และกระจกด้านหลังแตก
จากการสอบสวนเบื้องต้น นายกำพล ให้การว่า ตนและน้องชายเดินทางออกจากตัวเมืองอ่างทองเพื่อจะไปรับแฟนสาวที่กรุงเทพฯ พอผ่านจุดที่เกิดพบเห็นชาย 2 คน ที่บริเวณริมถนนจุดดังกล่าว โดยสังเกตเห็นที่ศีรษะคนร้ายสวมไฟส่องกบ จากนั้นได้ปาหินใส่รถตนกระแทกกระจกบริเวณด้านเบาะคนนั่งด้านซ้ายจนทะลุไปออกกระจกด้านหลังรถ กระจกแตกได้รับความเสียหาย โชคดีที่ด้านเบาะหลังไม่มีใครนั่ง เพราะถ้ากระแทกใส่ถูกคนคาดว่าต้องได้รับอันตรายถึงชีวิตแน่นอน ตนและน้องจึงได้จอดรถ และวิ่งไล่ตามคนร้ายทั้ง 2 คน ที่อาศัยความมืดวิ่งหนีลงป่าข้างทางไป
อีกรายคือ นายมีทรัพย์ สุขโม้ อายุ 53 ปี บ้านเลขที่ 12 หมู่ 3 ตำบลชำยาง อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น เป็นเจ้าของรถกระบะอีซูซุ รุ่นดีแมคซ์ หมายเลขทะเบียน บร 175 ขอนแก่น รถได้รับความเสียหายบริเวณกระโปรงหน้า และหลังคาบุบ เนื่องจากแรงกระแทกจากก้อนหิน ทำให้ได้รับความเสียหาย
นายมีทรีพย์ ให้การว่า ตนและภรรยาจะเดินทางไปบ้านญาติที่จังหวัดสุพรรณบุรี พอมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุพบชาย 2 คน ลักษณะวัยรุ่น สวมเสื้อสีเทาดำ มีไฟส่องกบที่บริเวณศีรษะทั้ง 2 คน ปาหินใส่รถตนโชคดีที่ถูกส่วนของกระโปรงรถ และกระเด็นขึ้นหลังคา ตนและภรรยาไม่กล้าจอดรถ จากนั้นรีบขับรถยนต์เข้าตัวเมืองอ่างทอง พร้อมเข้าเแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองอ่างทอง
ร.ต.ท.จตุพล เทสินทโชติ ร้อยเวร สภ.เมืองอ่างทอง กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งเหตุ จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองอ่างทอง ลงตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ และรวบรวมหลักฐานเพื่อเร่งสืบหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุเพื่อนำตัวมาดำเนินดคีตามกฎหมายอย่างเร่งด่วนแล้ว เนื่องจากก่อเหตุอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย และเป็นภัยสังคมที่อาจก่อให้เกิดอันตราย ต้องสูญเสียทั้งทรัพย์สิน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้