ชัยนาท - กรมชลประทาน สั่งเพิ่มระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท เพื่อผลักดันน้ำทะเลหนุนสูงที่จะมีผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปา และพื้นที่ปลูกไม้ผลในพื้นที่ตอนล่างลุ่มเจ้าพระยาช่วง 30 ก.ค.นี้ ด้านที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง
ชเมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (22 ก.ค.) พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีฝ่ายบำรุงรักษากรมชลประทาน เดินทางไปติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ภาคกลาง โดยได้เข้ารับฟังสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา และสถานการณ์ภัยแล้งในจังหวัดชัยนาท จาก นายเฉลิมเกียรติ วรวุฒิพุทธพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท และนายฎรงศ์กร สมตน ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 ณ สำนักงานชลประทานที่ 12 อ.สรรพยา จ.ชัยนาท
โดยกรมชลประทานได้สั่งการให้สำนักงานชลประทานที่ 12 เพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จากวันละ 90 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เป็นวันละ 95 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เพื่อส่งไปผลักดันน้ำเค็มที่จะมีผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปา และพื้นที่ปลูกไม้ผลในพื้นที่ตอนล่างลุ่มเจ้าพระยา เนื่องจากวันที่ 30 กรกฎาคมเป็นต้นไป ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ จึงต้องส่งน้ำเจ้าพระยาลงไปผลักดันควบคุมไม่ให้ค่าความเค็มแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น
โดยเมื่อเวลา 12.00 น.เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ได้เพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนขึ้นเป็น 95 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เพิ่มขึ้น 6 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 6.21 เมตร (เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง) ส่วนระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา อยู่ที่ 14.22 เมตร (เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง)
สำหรับมาตรการผ่อนคลายการสูบน้ำเพื่อการเกษตร กรมชลประทานมีแผนจะปรับเพิ่มปริมาณน้ำที่ส่งเข้าแม่น้ำน้อย ที่ประตูระบายน้ำบรมธาตุ อ.เมือง จ.ชัยนาท และแม่น้ำท่าจีน ที่ประตูระบายน้ำพลเทพ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เพิ่มขึ้นอีก เพื่อส่งไปช่วยเหลือนาข้าวในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ที่ข้าวอายุ 2 เดือน กำลังออกรวง ซึ่งมีจำนวน 1.36 ล้านไร่ แต่ถึงจะเพิ่มปริมาณน้ำที่จะส่งไปก็สามารถช่วยเหลือได้เพียง 330,000 ไร่เท่านั้น ซึ่งหากฝนยังตกน้อย อาจทำให้พื้นที่บางส่วนเสียหาย แต่ไม่ทั้งหมดเพราะยังมีพื้นที่บางส่วนที่ยังสามารถใช้น้ำจากบ่อบาดาลได้
